ลักษณะกระจายธุรกิจ
มีส่วนสำคัญ 4 ประการดังนี้
1.ทำการเคลื่อนที่เพื่อเข้าสู่ธุรกิจใหม่ (Marking the moves to enter new businesses)
2.ริเริ่มการปฏิบัติเพื่อรวมการทำงานของธุรกิจที่กระจายธุรกิจเข้าไป (Initiating actions to boost the combined the combined performance of the businesses the firm has diversified into)
3.หาวิธีที่จะสร้างพลังระหว่างหน่วยธุรกิจที่สัมพันธ์กันและเปลี่ยนเป็นการสร้างข้อได้เปรียบทางการแข่งขัน (Finding ways to capture the synergy among related business units and turn it into competitive advantage)
4.จัดลำดับความสำคัญในการลงทุดและดึงทรัพยากรบริษัทเข้าสู่หน่วยธุรกิจที่ดึงดูดมาที่สุด (Establishing investment priorities and steering corporate resources into most attractive business units)
การทดสอบ 3 ประการสำหรับการตัดสินใจกระจายธุรกิจ (Three tests for judging a diversification move) ดังนี้
1.การทดสอบความดึงดูดใจ (Attractiveness test)
2.การทดสอบต้นทุนของการเข้าสู่ธุรกิจ (The cost-of-entry test)
3.การทดสอบสิ่งที่ดีกว่า (The better-off test)
กลยุทธ์การกระจายธุรกิจ (Diversification strategies) แนวทางของบริษัทสามารถเคลื่อนจากธุรกิจเดียวสู่ธุรกิจที่กระจาย การรวมตัวในแนวดิ่งอาจจะใช้การรวมตัวไปข้างหน้าหรือการรวมตัวไปข้างหลัง เพื่อสร้างตำแหน่งทางการแข่งขันที่แข็งแกร่งของธุรกิจ โดยมีทางเลือกกลยุทธ์การกระจายขั้นสุดท้าย 6 ประการดังนี้
1.การซื้อกิจการ (Acquisition) การเริ่มต้นใหม่ (Start-up) และการร่วมลงทุน (Joint ventures)
2.กลยุทธ์การกระจายธุรกิจที่สัมพันธ์กัน (Related businesses)
3.กลยุทธ์การกระจายธุรกิจที่ไม่สัมพันธ์กัน (Unrelated businesses)
4.กลยุทธ์การถอนตัว (Divestiture) และกลยุทธ์การเลิกดำเนินงาน (Liquidation)
5.กลยุทธ์การปรับโครงสร้างใหม่ (Restructuring)
6.กลยุทธ์การกระจายเป็นบริษัทนานาชาติ (Multinational)
กลยุทธ์ที่เหมาะสม การประหยัดจากขอบเขต และข้อได้เปรียบทางการแข่งขัน (strategic fit economies of scope and competitive advantage) กลยุทธ์ที่เหมาะสม (Strategic fit) สามารถสร้างข้อได้เปรียบทางการแข่งขันดังนี้
1.ลดต้นทุน
2.ส่งมอบทักษะ เทคโนโลยี ความชำนาญ และความรู้ด้านการบริหารจากธุรกิจหนึ่งไปสู่อีกธุรกิจหนึ่ง
3.ใช้ชื่อตราสินค้าร่วมกัน
4.มีจุดแข็งด้านทรัพยากร และความสามารถทางการแข่งขัน ความสัมพันธ์ของกลยุทธ์ที่เหมาะสม (Strategic fit) จะใช้เครือข่ายการสร้างคุณค่า ซึ่งเกี่ยวข้องกับสิ่งต่อไปนี้ เทคโนโลยีที่เหมาะสม (Technology fits) การดำเนินงานที่เหมาะสม (operating firs) การจัดจำหน่ายและความสัมพันธ์กับลูกค้าที่เหมาะสม (Distribution and customer-related fits) การบริหารที่เหมาะสม (Managerial firs)
การประเมินความดึงดูดของอุตสาหกรรม : โดยแบบทดสอบ 3 แบบ (Evaluating industry attractiveness : three tests) การประเมินความดึงดูดในอุตสาหกรรมมี 3 ด้าน คือ
1.ความดึงดูดของแต่ละอุตสาหกรรมในกลุ่มธุรกิจ (The attractiveness of each industry represented in the business portfolio)
2.ความดึงดูดของแต่ละอุตสาหกรรมที่สัมพันธ์กับอุตสาหกรรมอื่น (Each industry’s attractiveness relative to the others)
3.จัดอุตสาหกรรมที่ดึงดูดทั้งหมดเข้าเป็นกลุ่ม (The attractiveness of all the industries as a group)
การประเมินความดึงดูดของแต่ละอุตสาหกรรมที่บริษัทจะมีการกระจายธุรกิจเข้าไป (Evaluating the attractiveness of each industry the company has diversified into) มีลักษณะดังนี้
1.ขนาดของตลาดและอัตราการเจริญเติบโตที่พยากรณ์ (Market size and projected growth rate)
2.ความเข้มข้นในการแข่งขัน (The intensity of competition)
3.การเกิดโอกาสและอุปสรรค (Emerging opportunities and threats)
4.ปัจจัยด้านฤดูการและวัฏจักรธุรกิจ (Seasonal and cyclical factors)
5.ความต้องการการลงทุน และความต้องการทรัพยากรพิเศษอื่น ๆ (Capital requirement and other special resource requirements)
6.กลยุทธ์และทรัพยากรที่เหมาะสมในปัจจุบันของธุรกิจ (Strategic fits and resource fits with the firm’s present businesses)
7.ความสามารถในการหากำไรจากอุตสาหกรรม (Industry profitability)
8.ปัจจัยด้านสังคม การเมือง ข้อบังคับ และสภาพแวดล้อม (social, political, regulatory and environmental factors)
9.ระดับความเสี่ยงและความไม่แน่นอน (Degree of risk and uncertainty)
การประเมินจุดแข็งใจการแข่งขันของหน่อยธุรกิจของบริษัท ควรมีพื้นฐานจากปัจจัยดังต่อไปนี้
1.ส่วนครองตลาดเปรียบเทียบ (Relative market share)
2.ความสามารถที่จะแข่งขันด้านต้นทุน (Ability to compete on cost)
3.ความสามารถที่จะแข่งขันด้านคุณภาพและ/หรือบริการ (Ability to match industry rivals on quality and/or service)
4.ความสามารถในการมีอำนาจต่อรองกับผู้ขายปัจจัยการผลิตหรือลูกค้าที่สำคัญ (Ability to exercise bargaining leverage with key suppliers of costomers)
5.ขีดความสามารถด้านเทคโนโลยีและนวัติกรรม (Technology and innovation capabilities)
6.สินทรัพย์และความสามารถทางการแข่งขันของหน่วยธุรกิจซึ่งใช้เป็นปัจจัยแห่งความสำเร็จเป็นอย่างไร (How well the business unit’s competitive assets and competencies match the industry key success factors)
7.การยอมรับและความมีชื่อเสียงในซื่อตราสินค้า (Brand-name recognition and reputation)
8.ความสามารถในการสร้างกำไรเมื่อเปรียบเทียบกับคู่แข่งขัน (Profitability relative to competitors)
การวิเคราะห์ทรัพยากรที่เหมาะสม
:
การตัดสินใจว่าทรัพยากรของบริษัทมีความเหมาะสมอย่างไรกับความต้องการของหน่วยธุรกิจ
(Resource fit analysis : determining how well the
firm’s resources match business unit requirements) มีดังนี้1.ทำการเคลื่อนที่เพื่อเข้าสู่ธุรกิจใหม่ (Marking the moves to enter new businesses)
2.ริเริ่มการปฏิบัติเพื่อรวมการทำงานของธุรกิจที่กระจายธุรกิจเข้าไป (Initiating actions to boost the combined the combined performance of the businesses the firm has diversified into)
3.หาวิธีที่จะสร้างพลังระหว่างหน่วยธุรกิจที่สัมพันธ์กันและเปลี่ยนเป็นการสร้างข้อได้เปรียบทางการแข่งขัน (Finding ways to capture the synergy among related business units and turn it into competitive advantage)
4.จัดลำดับความสำคัญในการลงทุดและดึงทรัพยากรบริษัทเข้าสู่หน่วยธุรกิจที่ดึงดูดมาที่สุด (Establishing investment priorities and steering corporate resources into most attractive business units)
การทดสอบ 3 ประการสำหรับการตัดสินใจกระจายธุรกิจ (Three tests for judging a diversification move) ดังนี้
1.การทดสอบความดึงดูดใจ (Attractiveness test)
2.การทดสอบต้นทุนของการเข้าสู่ธุรกิจ (The cost-of-entry test)
3.การทดสอบสิ่งที่ดีกว่า (The better-off test)
กลยุทธ์การกระจายธุรกิจ (Diversification strategies) แนวทางของบริษัทสามารถเคลื่อนจากธุรกิจเดียวสู่ธุรกิจที่กระจาย การรวมตัวในแนวดิ่งอาจจะใช้การรวมตัวไปข้างหน้าหรือการรวมตัวไปข้างหลัง เพื่อสร้างตำแหน่งทางการแข่งขันที่แข็งแกร่งของธุรกิจ โดยมีทางเลือกกลยุทธ์การกระจายขั้นสุดท้าย 6 ประการดังนี้
1.การซื้อกิจการ (Acquisition) การเริ่มต้นใหม่ (Start-up) และการร่วมลงทุน (Joint ventures)
2.กลยุทธ์การกระจายธุรกิจที่สัมพันธ์กัน (Related businesses)
3.กลยุทธ์การกระจายธุรกิจที่ไม่สัมพันธ์กัน (Unrelated businesses)
4.กลยุทธ์การถอนตัว (Divestiture) และกลยุทธ์การเลิกดำเนินงาน (Liquidation)
5.กลยุทธ์การปรับโครงสร้างใหม่ (Restructuring)
6.กลยุทธ์การกระจายเป็นบริษัทนานาชาติ (Multinational)
กลยุทธ์ที่เหมาะสม การประหยัดจากขอบเขต และข้อได้เปรียบทางการแข่งขัน (strategic fit economies of scope and competitive advantage) กลยุทธ์ที่เหมาะสม (Strategic fit) สามารถสร้างข้อได้เปรียบทางการแข่งขันดังนี้
1.ลดต้นทุน
2.ส่งมอบทักษะ เทคโนโลยี ความชำนาญ และความรู้ด้านการบริหารจากธุรกิจหนึ่งไปสู่อีกธุรกิจหนึ่ง
3.ใช้ชื่อตราสินค้าร่วมกัน
4.มีจุดแข็งด้านทรัพยากร และความสามารถทางการแข่งขัน ความสัมพันธ์ของกลยุทธ์ที่เหมาะสม (Strategic fit) จะใช้เครือข่ายการสร้างคุณค่า ซึ่งเกี่ยวข้องกับสิ่งต่อไปนี้ เทคโนโลยีที่เหมาะสม (Technology fits) การดำเนินงานที่เหมาะสม (operating firs) การจัดจำหน่ายและความสัมพันธ์กับลูกค้าที่เหมาะสม (Distribution and customer-related fits) การบริหารที่เหมาะสม (Managerial firs)
การประเมินความดึงดูดของอุตสาหกรรม : โดยแบบทดสอบ 3 แบบ (Evaluating industry attractiveness : three tests) การประเมินความดึงดูดในอุตสาหกรรมมี 3 ด้าน คือ
1.ความดึงดูดของแต่ละอุตสาหกรรมในกลุ่มธุรกิจ (The attractiveness of each industry represented in the business portfolio)
2.ความดึงดูดของแต่ละอุตสาหกรรมที่สัมพันธ์กับอุตสาหกรรมอื่น (Each industry’s attractiveness relative to the others)
3.จัดอุตสาหกรรมที่ดึงดูดทั้งหมดเข้าเป็นกลุ่ม (The attractiveness of all the industries as a group)
การประเมินความดึงดูดของแต่ละอุตสาหกรรมที่บริษัทจะมีการกระจายธุรกิจเข้าไป (Evaluating the attractiveness of each industry the company has diversified into) มีลักษณะดังนี้
1.ขนาดของตลาดและอัตราการเจริญเติบโตที่พยากรณ์ (Market size and projected growth rate)
2.ความเข้มข้นในการแข่งขัน (The intensity of competition)
3.การเกิดโอกาสและอุปสรรค (Emerging opportunities and threats)
4.ปัจจัยด้านฤดูการและวัฏจักรธุรกิจ (Seasonal and cyclical factors)
5.ความต้องการการลงทุน และความต้องการทรัพยากรพิเศษอื่น ๆ (Capital requirement and other special resource requirements)
6.กลยุทธ์และทรัพยากรที่เหมาะสมในปัจจุบันของธุรกิจ (Strategic fits and resource fits with the firm’s present businesses)
7.ความสามารถในการหากำไรจากอุตสาหกรรม (Industry profitability)
8.ปัจจัยด้านสังคม การเมือง ข้อบังคับ และสภาพแวดล้อม (social, political, regulatory and environmental factors)
9.ระดับความเสี่ยงและความไม่แน่นอน (Degree of risk and uncertainty)
การประเมินจุดแข็งใจการแข่งขันของหน่อยธุรกิจของบริษัท ควรมีพื้นฐานจากปัจจัยดังต่อไปนี้
1.ส่วนครองตลาดเปรียบเทียบ (Relative market share)
2.ความสามารถที่จะแข่งขันด้านต้นทุน (Ability to compete on cost)
3.ความสามารถที่จะแข่งขันด้านคุณภาพและ/หรือบริการ (Ability to match industry rivals on quality and/or service)
4.ความสามารถในการมีอำนาจต่อรองกับผู้ขายปัจจัยการผลิตหรือลูกค้าที่สำคัญ (Ability to exercise bargaining leverage with key suppliers of costomers)
5.ขีดความสามารถด้านเทคโนโลยีและนวัติกรรม (Technology and innovation capabilities)
6.สินทรัพย์และความสามารถทางการแข่งขันของหน่วยธุรกิจซึ่งใช้เป็นปัจจัยแห่งความสำเร็จเป็นอย่างไร (How well the business unit’s competitive assets and competencies match the industry key success factors)
7.การยอมรับและความมีชื่อเสียงในซื่อตราสินค้า (Brand-name recognition and reputation)
8.ความสามารถในการสร้างกำไรเมื่อเปรียบเทียบกับคู่แข่งขัน (Profitability relative to competitors)
1.การตรวจสอบความเหมาะสมด้านทรัพยากรการเงิน : ธุรกิจที่ไม่ทำเงินและทำเงิน (Checking financial resource fit : cash hog and cash cow businesses)
2.ตรวจสอบความเหมาะสมด้านการแข่งขันและทรัพยากรการบริหาร (Checking competitive and managerial resource fits)
การสร้างความเชี่ยวชาญกลยุทธ์ระดับบริษัท (Crafiting a corporate strategy) มีดังนี้
1.การทดสอบผลการทำงาน (Performance test)
2.การระบุโอกาสการกระจายธุรกิจเพิ่มเติม (Identifying additional diversification opportunities)