การวิเคราะห์ทรัพยากรที่เหมาะสม
: การตัดสินใจว่าทรัพยากรของบริษัทมีความเหมาะสมอย่างไรกับความต้องการของหน่วยธุรกิจ
(Resource fit analysis ซ determining how well the firm’s resources match business
unit requirements) ธุรกิจในสายงานของบริษัทที่มีการกระจายต้องการสร้างความเหมาะสมด้านทรัพยากร
เช่นเดียวกันความเหมาะสมด้านกลยุทธ์ ความเหมาะสมด้านทรัพยากร (Resource Fit) จะคงอยู่เมื่อ (1) ธุรกิจเพิ่มจุดแข็งด้านทรัพยากรของบริษัท (2) บริษัทมีทรัพยากรที่เพียงพอตามความต้องการของธุรกิจของตนเองในลักษณะกลุ่มโดยไม่กระจายเป็นก้อนเล็ก
ๆ
ประเด็นหนึ่งที่ของความเหมาะสมด้านทรัพยากรจะเกี่ยวกับสายงานธุรกิจขอบบริษัทว่ามีความสอดคล้องกับทรัพยากรด้านการเงินหรือไม่
1.การตรวจสอบความเหมาะสมด้ายทรัพยากรการเงิน : ธุรกิจไม่ทำเงินและทำเงิน (Checking financial fit : cash hog and cash cow businesses) ธุรกิจจะมีความแตกต่างกันทั้งกระแสเงินสดและลักษณะการลงทุน ตัวอย่าง หน่วยธุรกิจในอุตสาหกรรมที่เติบโตเร็วมัก “ไม่ทำเงิน” (Cash hogs) เพราะว่ามีกระแสเงินสอต่อปีไม่เพียงพอที่จะครอบคลุมความต้องการเงินทุนทั้งปี เพื่อรักษาความต้องการที่เพิ่มขึ้น ธุรกิจที่เจริญเติบโตเร็วมักมองหาขนาดการลงทุนต่อปีที่สามารถเป็นไปได้ในอนาคตสำหรับการจัดหาความสะดวก / เครื่องมือ สำหรับการพัฒนาผลิตภัณฑ์ใหม่หรือการปรับปรุงเทคโนโลยี การเพิ่มทุน การทำงานเพื่อขยายสินค้าคงเหลือให้เพียงพอ และขยายฐานการผลิตให้กว้างขึ้น ธุรกิจในอุตสาหกรรมที่เติบโตเร็วอาจกลายเป็นส่วนของธุรกิจที่ไม่ทำเงิน (Cash hog) เมื่อเปรียบเทียบกับส่วนครองตลาดที่ต่ำ และต้องใช้กลยุทธ์เพื่อขยายตลาดให้ใหญ่ขึ้น (Outgrow the market) และเพิ่มส่วนครองตลาดให้เพียงพอเพื่อจะได้เป็นผู้น้ำอุตสาหกรรม ธุรกิจที่เติบโตเร็วไม่สามารถหมุนเวียนกระแสเงินสดได้อย่างเพียงพอ ในที่สุดก็ต้องใช้แหล่งการเงินจากบริษัทแม่ เพราะฉะนั้นการบริหารระดับบริษัทต้องพิจารณาถึงการลงทุนของธุรกิจที่ไม่ทำเงินด้วย
1.การตรวจสอบความเหมาะสมด้ายทรัพยากรการเงิน : ธุรกิจไม่ทำเงินและทำเงิน (Checking financial fit : cash hog and cash cow businesses) ธุรกิจจะมีความแตกต่างกันทั้งกระแสเงินสดและลักษณะการลงทุน ตัวอย่าง หน่วยธุรกิจในอุตสาหกรรมที่เติบโตเร็วมัก “ไม่ทำเงิน” (Cash hogs) เพราะว่ามีกระแสเงินสอต่อปีไม่เพียงพอที่จะครอบคลุมความต้องการเงินทุนทั้งปี เพื่อรักษาความต้องการที่เพิ่มขึ้น ธุรกิจที่เจริญเติบโตเร็วมักมองหาขนาดการลงทุนต่อปีที่สามารถเป็นไปได้ในอนาคตสำหรับการจัดหาความสะดวก / เครื่องมือ สำหรับการพัฒนาผลิตภัณฑ์ใหม่หรือการปรับปรุงเทคโนโลยี การเพิ่มทุน การทำงานเพื่อขยายสินค้าคงเหลือให้เพียงพอ และขยายฐานการผลิตให้กว้างขึ้น ธุรกิจในอุตสาหกรรมที่เติบโตเร็วอาจกลายเป็นส่วนของธุรกิจที่ไม่ทำเงิน (Cash hog) เมื่อเปรียบเทียบกับส่วนครองตลาดที่ต่ำ และต้องใช้กลยุทธ์เพื่อขยายตลาดให้ใหญ่ขึ้น (Outgrow the market) และเพิ่มส่วนครองตลาดให้เพียงพอเพื่อจะได้เป็นผู้น้ำอุตสาหกรรม ธุรกิจที่เติบโตเร็วไม่สามารถหมุนเวียนกระแสเงินสดได้อย่างเพียงพอ ในที่สุดก็ต้องใช้แหล่งการเงินจากบริษัทแม่ เพราะฉะนั้นการบริหารระดับบริษัทต้องพิจารณาถึงการลงทุนของธุรกิจที่ไม่ทำเงินด้วย
หน่วยธุรกิจที่มี่ตำแหน่งเป็นผู้นำอุตสาหกรรมที่เติบโตช้า
อาจมีความต้องการเงินทุนระดับกลางและสามารถเป็นธุรกิจที่ทำเงิน (Cash cow) ได้
ถึงแม้ว่าจะมีความดึงดูดน้อยกว่าอุตสาหกรรมที่เติบโตเร็ว อาจเป็นธุรกิจที่มีคุณค่าด้านการเงิน
จากกระแสเงินสดของธุรกิจนี้ก็สามารถจ่ายเงินปันผลได้
และสามารถจัดหาทุนสำหรับการลงทุนของธุรกิจที่ไม่ทำเงินได้ สิ่งจำเป็นสำหรับบริษัทที่มีการกระจายธุรกิจคือ
การรักษาธุรกิจที่ทำเงินให้อยู่ในสภาพที่ดี ทำให้เติบโตและป้องกันตำแหน่งของตลาด
เพื่อรักษาขีดความสามารถของกระแสเงินสดในระยะยาว
และบำรุงรักษาทรัพยากรให้ดำเนินไปอย่างต่อเนื่อง
การประเมินความต้องการด้านการเงินของธุรกิจต่าง
ๆ ในกลุ่มบริษัทจะพิจารณาว่าธุรกิจใดไม่ทำเงิน (Cash hog) และธุรกิจใดมีโอกาสที่จะทำเงินสูงมาก (Cash cows highlights opportunities) เพื่อปรับเปลี่ยนทรัพยากรด้านกาเงินของบริษัทระหว่างสาขาธุรกิจ
อธิบายเหตุผลในการจัดสรรทรัพยาการของบริษัทตามอันดับก่อนหลังของธุรกิจ
และการจัดหาเหตุผลที่ดีทั้งกลยุทธ์การลงทุน กลยุทธ์การขยายตัว และการถอนธุรกิจ (Divestiture) เช่น บริษัทที่มีการกระจายจะมีเงินทุนจำนวนมากจากหน่วยธุรกิจมีกำไร
จึงสามารถนำเงินไปหมุนเวียนในธุรกิจที่ไม่ทำกำไร (Cash hog) จนกระทั่งธุรกิจที่ไม่ทำกำไรเริ่มเติบโตและช่วยตัวเองได้จนกลายเป็นดาว
(Star business) อยู่ในตำแหน่งการแข่งขันที่แข็ง
มีตลาดที่เติบโตสูง ซึ่งธุรกิจที่เป็นดาวจะเป็นธุรกิจทำเงินในอนาคต
2.ตรวจสอบความเหมาะสมด้านการแข่งขันและทรัพยากรการบริหาร
(Checking competitive
and managerial resource fits) กลยุทธ์ของบริษัทที่มีการกระจายต้องมีเป้าหมายในการผลิตที่ดีระหว่างขีดความสามารถด้านทรัพยากร
การแข่งขัน และความต้องการการบริหารธุรกิจ
การกระจายจะมีผลในการเพิ่มคุณค่าผู้ถือหุ้น (Shareholder value) มากที่สุด เมื่อบริษัทสามารถพัฒนาการแข่งขันและขีดความสามารถในการบริหารเพื่อบรรลุผลสำเร็จในแต่ละธุรกิจ
หรือในอุตสาหกรรมที่กระจายเข้าไป
ส่วนปัจจัยสำคัญที่อาจทำให้ต้องถอนธุรกิจไปก็คือการขาดแคลนความเหมาะสมด้านทรัพยากรที่ดีกับหน่วยธุรกิจหนึ่งหรือมากกว่า
การตรวจสอบกลุ่มธุรกิจของบริษัทที่มีการกระจายเพื่อพิจารณาความเหมาะสมด้านการแข่งขัน
และทรัพยากรการบริหาร จะรวมถึงสิ่งต่อไปนี้
1.การพิจารณาจุดแข็งด้านทรัพยากรของบริษัท เช่น ทักษะความเชี่ยวชาญด้านเทคโนโลยี และขีดความสามารถทางการแข่งขัน ว่ามีความสอดคล้องกับปัจจัยความสำเร็จของธุรกิจที่กระจายเข้าไปหรือไม่
2.พิจารณาว่าบริษัทมีการบริหารที่มีความเชี่ยวชาญเพียงพอที่จะใช้แก้ปัญหาการดำเนินงานของสายธุรกิจในปัจจุบันหรือไม่
3.การพิจารณาขีดความสามารถทางการแข่งขันของธุรกิจว่าสามารถที่จะถ่ายโอนสู่ธุรกิจอื่นได้หรือไม่
4.การพิจารณาความต้องการของบริษัทที่จะลงทุนในการยกระดับทรัพยากร หรือขีดความสามารถที่จะเป็นผู้นำของคู่แข่งขันหรือไม่
1.การพิจารณาจุดแข็งด้านทรัพยากรของบริษัท เช่น ทักษะความเชี่ยวชาญด้านเทคโนโลยี และขีดความสามารถทางการแข่งขัน ว่ามีความสอดคล้องกับปัจจัยความสำเร็จของธุรกิจที่กระจายเข้าไปหรือไม่
2.พิจารณาว่าบริษัทมีการบริหารที่มีความเชี่ยวชาญเพียงพอที่จะใช้แก้ปัญหาการดำเนินงานของสายธุรกิจในปัจจุบันหรือไม่
3.การพิจารณาขีดความสามารถทางการแข่งขันของธุรกิจว่าสามารถที่จะถ่ายโอนสู่ธุรกิจอื่นได้หรือไม่
4.การพิจารณาความต้องการของบริษัทที่จะลงทุนในการยกระดับทรัพยากร หรือขีดความสามารถที่จะเป็นผู้นำของคู่แข่งขันหรือไม่