ผู้บริหารที่ต้องการประสบความสำเร็จในอนาคต จะต้องเริ่มต้นด้วยการศึกษาการบริหารเชิงกลยุทธ์ เพราะโลกในการบริหารธุรกิจมีความสลับซับซ้อนและมีการเปลี่ยนแปลงอย่างรวดเร็ว ซึ่งธุรกิจจะต้องปรับตัวให้สอดคล้องกับการเปลี่ยนแปลงนั้น ถ้าผู้บริหารขาดความชำนาญในการกำหนดกลยุทธ์และการปฎิบัติตามกลยุทธ์จะทำให้ธุรกิจต่อสู้กับคู่แข่งขันไม่ได้ ดังนั้นผู้บริหารในระดับองค์การต่าง ๆ จึงให้ความสำคัญเกี่ยวกับความรับผิดชอบในการกำหนดกลยุทธ์ และกระบวนการวางแผนกลยุทธ์ที่มีรูปแบบ แม้แต่ผู้เชี่ยวชาญตามหน้าที่ ก็จะต้องเข้าใจแนวความคิดการบริหารเชิงกลยุทธ์พื้นฐานด้วยเช่นกัน

วันพุธที่ 15 กรกฎาคม พ.ศ. 2552

ลักษณะเชิงเศรษฐกิจที่มีผลต่อกลยุทธ์

1.ขนาดของตลาด (Market size) - ตลาดขนาดเล็กจะไม่จูงใจคู่แข่งขันรายใหญ่ หรือรายใหม่ ส่วนตลาดขนาดใหญ่จะดึงความสนใจของคู่แข่งขันให้เข้ามาแข่งขันในอุตสาหกรรม

2.อัตราความเจริญเติบโตของตลาด (Market growth rate) - ความเจริญเติมโตของตลาดที่รวดเร็ว จะจูงใจให้คู่แข่งขันเข้าสู่ตลาดใหม่ ความเจริญเติมโตที่ล่าช้าจะไม่จูงใจให้คูแข่งขันเข้าสู่ตลาด

3.สมรรถภาพส่วนเกินหรือความขาดแคลน (Capacity surpluses or shortage) - สมรรถภาพส่วนเกินจะดึงราคาและกำไรให้ลดลง ส่วนความขาดแคลนจะดึงราคาและกำไรให้สูงขึ้น

4.ความสามารถในการสร้างกำไรของอุตสาหกรรม (Industry profitability) - อุตสาหกรรมที่มีกำไรสูง จะจูงใจคู่แข่งขันใหม่ให้เข้าสู่ตลาด อุตสาหกรรมที่ตกต่ำจะทำให้คู่แข่งขันออกจากตลาด

5.อุปสรรคการเข้า/ออก (Entry/exit) barriers) - อุปสรรคระดับสูงจะป้องกันตำแหน่งและกำไรของธุรกิจที่ทำอยู่ อุปสรรคระดับต่ำจะทำให้คู่แข่งขันเข้าสู่ตลาดได้ง่าย

6.ผลิตภัณฑ์เป็นรายการที่ยิ่งใหญ่สำหรับผุ้ซื้้อ (Product is a big-ticket item for buyers) - ผู้ซื้อส่วนมากจะซื้อผลิตภัณฑ์ที่มีระดับราคาต่ำที่สุด

7.ผลิตภัณฑ์มาตรฐาน (Standardized products) - ผู้ซื้อจะมีอำนาจมากขื้น เนื่องจากจะเป็นการง่ายที่ผู้ซื้อจะเปลื่ยนการซื้อจากผู้ขายรายหนึ่งไปยังอีกรายหนึ่ง

8.การเปลี่ยนแปลงเทคโนโลยีอย่างรวดเร็ว (Rapid technological change) - ทำให้มีความเสี่ยงเพิ่มขึ้น เนื่องจาก การลงทุนในสิ่งอำนวยความสะดวก หรืออุปกรณ์ทางเทคโนโลยีแบบเก่าจะเปลี่ยนเป็นความล้าสมัย

9.ความต้องการเงินลงทุน (Capital requirements) - เงินทุนก้อนใหญ่ ต้องการการตัดสินใจในการลงทุนที่สำคัญ ต้องใช้ระยะเวลาซื่งเป็นอุปสรรคในการจะเข้าและออกจากธุรกิจ

10.การผสมผสานในแนวดิ่ง (Vertical integtaion) - จะเพิ่มความต้องการเงินทุน ซึ่่งสามารถสร้างความแตกต่างทางการแข่งขัน และความแตกต่างด้านต้นทุน

11.ความประหยัดจากขนาดการผลิต (Economies of scale) - จะเพิ่มยอดขายและส่วนครองตลาด เนื่องจากข้อได้เปรียบด้านต้นทุน

12.นวัตกรรมด้านผลิตภัณฑ์ที่รวดเร็ว (Rapid product innovation) - ทำให้วงจรชีวิตผลิตภัณฑ์สั้น และเป็นการเพิ่มความเสี่ยง เนื่องจากผลิตภัณฑ์มีโอกาสในการเปลี่ยนแปลง

ข้อมูลจาก

การบริหารเชิงกลยุทธ์และกรณีศึกษา
ร.ศ.ศิริวรรณ เสรีรัตน์ และคณะ