ผู้บริหารที่ต้องการประสบความสำเร็จในอนาคต จะต้องเริ่มต้นด้วยการศึกษาการบริหารเชิงกลยุทธ์ เพราะโลกในการบริหารธุรกิจมีความสลับซับซ้อนและมีการเปลี่ยนแปลงอย่างรวดเร็ว ซึ่งธุรกิจจะต้องปรับตัวให้สอดคล้องกับการเปลี่ยนแปลงนั้น ถ้าผู้บริหารขาดความชำนาญในการกำหนดกลยุทธ์และการปฎิบัติตามกลยุทธ์จะทำให้ธุรกิจต่อสู้กับคู่แข่งขันไม่ได้ ดังนั้นผู้บริหารในระดับองค์การต่าง ๆ จึงให้ความสำคัญเกี่ยวกับความรับผิดชอบในการกำหนดกลยุทธ์ และกระบวนการวางแผนกลยุทธ์ที่มีรูปแบบ แม้แต่ผู้เชี่ยวชาญตามหน้าที่ ก็จะต้องเข้าใจแนวความคิดการบริหารเชิงกลยุทธ์พื้นฐานด้วยเช่นกัน

วันอาทิตย์ที่ 15 ธันวาคม พ.ศ. 2556

โครงสร้างและการควบคุมระดับหน้าที่

โครงสร้างและการควบคุมระดับหน้าที่ (Strudture and control at the functional level) เป็นวิธีการที่ผู้บริหารกลุยุทธ์สามารถสร้างระบบโครงสร้างและการควบคุมเพื่อกระตุ้นการพัฒนาหน้าที่ หรือทักษะที่สำคัญ มีดังนี้
1.การผลิต (Manufacturing)
2
.การวิจัยและพัฒนา (Research and development)
3
.การขาย (Sales) โดยมีรายละเอียดดังนี้
การผลิต (Manufacturing)
เป็นกิจกรรมการนำปัจจัยการผลิต
(Factor of production) ซึ่งถือเป็นปัจจัยนำเข้า (input) เข้าสู่กระบวนการผลิต (Production process) เพื่อให้ได้สินค้าหรือบริการ (Goods or services) ซึ่งถือว่าเป็นผลผลิต (output) จากการผลิตกลยุทธ์ระดับหน้าที่ (Functional Strategies) มักเป็นการมุ่งในการปรับปรุงประสิทธิภาพ คุณภาพ การตอบสนองต่อลูกค้า และวิธีการประหยัดต้นทุน บริษัทได้มีการควบคุมอย่างเข้มงวดในกิจกรรมการทำงานของพนักงาน และมีการพันาสายการบังคับบัญชาให้เป็นแบบรวมอำนาจ เพื่อลดต้นทุนลงเท่าที่เป็นไปได้ โดยถือเป็ฯส่วนหนึ่งของความพยายามในการเพิ่มประสิทธิภาพ นอกจากนี้บริษัทยังใช้การควบคุมพฤติกรรมและผลผลิตเพื่อลดต้นทุน เช่น บุคลากรในบริษัทจะได้รับการทำให้เป็นมาตรฐาน โดยการสรรหาและฝึกอบรมทักษะ กระวนการทำงานที่เป็นมาตรฐานเพื่อลดต้นทุน และมีการควบคุมคุณภาพเพื่อทำให้แน่ใจว่าผลผลิตได้รับการผลิตที่ถูกต้องและมีคุณภาพ นอกจากนี้ผู้จัดการยังใช้การควบคุมผลผลิต เช่น การจัดการงบประมาณให้มีการหมุนเวียนและมีการควบคุมต้นทุนอย่างต่อเนื่อง
เมื่อไม่นานมานี้บริษัทชั้นนำของญี่ปุ่น เช่น Toyota และ Sony ใช้วิธีการจัดการคุณภาพโดยรวม(Total Quality Management : TQM) และระบบการผลิตที่ยืดหยุ่นได้ (Flexible manufacturing systems) การจัดการแบบ TQM ที่แระสบความสำเร็จจำเป็นต้องใช้วิธีที่แต่ต่างกันในการนำเข้าสู่องค์การ ซึ่งจะขึ้นอยู่กับการออกแบบองค์การด้วยวิธีการจัดการแบบ TQM ปัจจัยนำเข้า และสิ่งที่เกี่ยวข้องกับพนักงานทุกคน ในกระบวนการตัดสินใจเป็นสิ่งจำเป็นในกานจะปรับปรุงประสิทธิภาพและคุณภาพของการผลิต ดังนั้นจึงจำเป็นที่จะต้องรวมอำนาจหน้าที่เพื่อจูงในพนักงานให้มีการปรับปรุงกระบวนการผลิต นอกจากนี้การจัดการแบบTQM ยังมีการสร้างการทำงานเป็นทีม (Work Teams) กล่าวคือพนักงานจะได้รับมอบความรับผิดชอบ (Responsibility) และอำนาจหน้าที่ (Authority) เพื่อค้นห้าและปรับปรุงวิธีดำเนินงาน มีการสร้างวงจรการควบคุมคุณภาพ (Quality Control Circles : QCC) เพื่อแลกเปลี่ยนข้อมูลและข้อแนะนำเกี่ยวกับปัญหา และวิธีการดำเนินงาน และมีการสร้างระบบการให้รางวัล หรือแผนให้พนักงานเป็นเจ้าของหุ้น (Employee Stock Ownership Plan : ESOP) เพื่อกระต้นพนักงานให้เกิดการทำงาน
ผู้จักการจะทำหน้าที่เหมือนผู้ฝึกสอน (Coach) และผู้ให้ความสะดวก (Facilitator) แก่สมาชิกของทีมที่ผู้จัดการจะต้องทำหน้าที่ควบคุมดูแลการทำงานเป็นทีม (Work Teams) ซึ่งมักได้รับมอบความรับผิดชอบในการควบคุมและสร้างระเบียบวินัยขึ้นในกลุ่มสมาชิกของตน บ่อยครั้งที่การทำงานเป็ฯทีมีการสร้างบรรทัดฐาน ค่านิยม และวัฒนธรรมกลุ่มได้กลายเป็นสิ่งสำคัญ ซึ่งเป็นวิถีทางของการควบคุม (Control) การควบคุมชนิดนี้จะเหมาะสม (Match) กับวิธีการกระจายอำนาจแบบใหม่โดยการทำงานเป็นทีม
แม้ว่าพนักงานจะได้รับเสรีภาพมากขึ้นในการควบคุมกิจกรรมของเขา แต่ก็ยังต้องใช้การควบคุมผลผลิตอย่างกว้างและการวัดประสิทธิภาพและคุณภาพอย่างต่อเนื่อง เพื่อให้แน่ใจว่ากิจกรรมการทำงานเป็นทีมบรรลุเป้าหมายที่วางไว้ การเพิ่มประสิทธิภาพและคุณภาพ ได้แก่ การสร้างกฎเกณฑ์ใหม่ การปรับปรุงกฎเกณฑ์การทำงาน และวิธีดำเนินงานให้มีการพัฒนาเพื่อยกระดับความเป็นมาตรฐาน ซึ่งมีเป้าหมายเพื่อการค้นหาความเหมาะสม (Matching) ระหว่างโครงสร้าง การควบคุม และวิธีการจัดการแบบ TQM เพื่อทำให้การผลิตมีความแตกต่างไปจากเดิม ตลอดจนมีประสิทธิภาพและคุณภาพที่เหนือกว่าคู่แข่งขัน
การวิจัยและการพัฒนา (Research and Development (R&D))
กลยุทธ์ระดับหน้าที่สำหรับแผนกวิจัยและพัฒนาความสำคัญต่าง ๆ ในนวัตกรรมและการพัฒนาเทคโนโลยี เพื่อให้ตรงตามความต้องการของลูกค้า โครงสร้างของแผนก R&D และระบบการควบคุม ควรได้รับการออกแบบเพื่อจัดความร่วมมือและเพื่อนำผลิตภัณฑ์ให้เข้าสู่ตลาดได้อย่างรวดเร็ว นอกจากนี้ควรจูงใจนักวิทยาศาสตร์ให้ทำการวิจัยและพัฒนา เพื่อให้การพัฒนาผลิตภัณฑ์หรือกระบวนการใหม่ ๆ
ในทางปฎิบัติแผนก
R&D ควรมีโครงสร้างแบบแบน (Flat) และมีการกระจายอำนาจ (Decentralizec) ซึ่งจะรวมกลุ่มนักวิทยาศาสตร์เข้าเป็นทีม โครงสร้างแบบแบบจะทำให้ผู้วิจัยและพัฒนามีเสรีภาพและมีอิสระที่จะนำเอาวิธีการใหม่ ๆ เข้ามาใช้ เนื่องจากผลการปฎิบัติงานของนักวิทยาสตร์ และวิศวกรมักต้องใช้เวลาหลายปีกว่าโครงการจะสำเร็จ ประกอบกับชั้นของสายการบังคับบัญชามักเป็นแบบระบบราชการ จึงทำให้ตุ้นทุนและการสุญเสียทรัพยากรมีสูง
จากการทำงานเป็นทีม ผู้บริหารกลยุทธ์มีโอกาสที่จะนำนักวิทยาศาสตร์มาช่วยแก้ปัญหาและช่วยกันเพิ่มพูนผลการปฏิบัติงาน พนักงานจะได้รับการฝึกหัดเกี่ยวกับคุณค่าและบรรทัดฐานด้านอาชีพมาเป็นอย่างดี ซึ่งจะทำให้เกิดความร่วมมือในการทำงาน
ในการกระตุ้นทีมให้ทำงานอย่างมีประสิทธิผล สิ่งที่ต้องคำนึงถึงคือระบบการใช้รางวัลซึ่งจะต้องพิจารณาจากผลการปฏิบัติงานเป็นทีมเพราะถ้านักวิทยาศาสตร์ไม่ได้รับส่วนแบ่งจากกำไรที่บริษัทได้จากผลิตภัณฑ์หรือกระบวนการใหม่ บุคคลเหล่านี้อาจมีแรงจูงใจที่จะช่วยเหลือทีมอย่างเต็มความสามารถ เพื่อป้องกันการจากไปของพนักงานที่เป็นบุคคลสำคัญ
(Key employees) และเพื่อกระตุ้นให้มีแรงจูงใจสูง บริษัทต่าง ๆ อาจให้มีการเลือกรางวัลได้ ซึ่งจะต้องขึ้นอยู่กับผลการปฏิบัติงานส่วนบุคคล ทีม และของบริษัท
การขาย (Sales)
จากการวิจัยและพัฒนาพบว่าหน้าที่การขายมักจะมีโครงสร้างแบบแบน (Flat structure) ซึ่งโดยทั่ว ๆ ไปจะมีระดับชั้นสายงานบังคับบัญชาเพียง 3 ระดับ คือ
1
.ผู้อำนวยการฝ่ายขาย (Sales director)
2
.ผู้จัดการเขต หรือผู้จัดการฝ่ายขาย (Regional or product sales managers)
3
.พนักงานขาย (Individual salespeople)
 สามารถใช้ได้แม้กับหน่วยงานขาย (Sales forces) ที่มีขนาดใหญ่ โครงสร้างแบบแบบสามารถนำมาใช้ได้เพราะองค์การไม่ต้องควบคุมดูแลโดยตรง กิจกรรมของพนักงานขาย มักจะมีความซับซ้อน เนื่องจากต้องกระจายออกไปอยู่ในสนามการขาย พนักงานเหล่านี้มีความยากลำบากในการที่จะได้รับการตรวจอย่างสม่ำเสมอ นอกจากนั้นยังขึ้นอยู่กับสายการบังคับบัญชา เพราะหน้าที่การขายมักจะใช้ผลงาน (ผลผลิต) เป็นเครื่องวัด และการควบคุมพฤติกรรมของตนเอง
การควบคุมการผลผลิต
(Output controls) เป็นการตั้งเป้าหมายการขายเฉพาะ หรือตั้งเป้าหมายการเพิ่มการตอบสนองต่อลูกค้า ซึ่งสามารถตั้งได้อย่างง่าย ๆ และควบคุมดูแลโดยหัวหน้าชั้นต้น (Supervisors) แล้วนำการควบคุมด้วยผลงานไปเชื่อมโยงกับระบบการให้รางวัล (Bonus reward system) เพื่อกระตุ้นพนักงานขาย
การควบคุมพฤติกรรม
(Behavior controls) เป็นการรายงานรายละเอียดการทำงานของพนักงาน เช่น แฟ้มของพนักงานขายควรมีการบันทึกถึงปฏิกิระยาของพนักงานขายกับลูกค้า ซึ่งสามารถใช้เพื่อกำหนดพฤติกรรมของพนักงานขายให้เป็นมาตรฐาน และทำให้ง่ายต่อหัวหน้างานที่จะทบทวนผลการปฏิบัติงานของพนักงานขาย

การออกแบบเช่นเดียวกันนี้ อาจนำไปประยุกต์ใช้กับหน้าที่อื่น ๆ ได้เช่น แผนกบัญชี การเงิน วิศวกรรม การจัดการพรัพยากรมนุษย์ เป็นต้น ดังนั้นผู้จัดการจึงต้องเลือกการผสมผสานของโครงสร้างที่ถูกต้องและการควบคุมกลไก ในการทำให้แต่ละหน้าที่มีการช่วยเหลือกัน เพื่อบรรลุประสิทธิภาพ (Efficiency) คุณภาพ (Quality) นวัตกรรม (Innovation) และมีการตอลสนองต่อลูกค้าที่เหนือกว่าผู้แข่งขัน ปัจจุบันบริษัทจำนวนมากพยายามลดชั้นสายการบังคับบัญชาลงให้เป็นโครงสร้างแบบแบน และการกระจายอำนาจการควบคุม เพื่อลดค่าใช้จ่ายในการบังคับบัญชาตามสายงานลง ซึ่งผู้บริหารกลยุทธ์ (Strategic managers) ต้องพัฒนาระบบการควบคุม และระบบการสร้างสิ่งจูงใจเพื่อกระตุ้นจูงใจพนักงานในการทำงาน และทำให้พนักงานมีความสนใจในองค์การ

วันจันทร์ที่ 7 ตุลาคม พ.ศ. 2556

ระดับของการควบคุมกลยุทธ์ (Levels of strategic control)

ระบบการควบคุมกลยุทธ์ได้รับการพัฒนาเพื่อตรวจสอบผลการปฏิบัติงาน 4 ระดับในองค์การ คือ
1.ระดับบริษัท Croporate
2.ระดับแผนก Division
3.ระดับหน้าที่ Function
4.ระดับบุคคล Individual
ผู้บริหารทุกระดับจะต้องพัฒนาการตรวจสอบที่เหมาะสมในการประเมินผล ณ ระดับดังกล่าว เช่น วิธีการใช้การ์ดคะแนนความสมดุล
(Balance scorecard approach) โดยวิธีการวัดเหล่านี้จะต้องสอดคล้องกับเป้าหมายที่เป็นไปได้ เพื่อให้บรรลุประสิทธิภาพ คุณภาพ นวัตกรรม และการสนองตอบต่อลูกค้าที่ดีกว่า ซึ่งจะต้องกระทำอย่างระมัดระวังเพื่อให้แน่ใจว่ามาตรฐานที่ใช้ในแต่ละระดับไม่เป็นสาเหตุที่ทำให้เกิดปัญหากับระดับอื่น ๆ เช่น ความพยายามในการปรับปรุงผลการปฏิบัติงานของแผนกจะต้องไม่ขัดแย้งกับผลการปฏิบัติงานบริษัท นอกจากนั้นการควบคุมในแต่ละระดับควรจะต้องมีการจัดพื้นฐานซึ่งผู้บริหารระดับที่ต่ำลงไป สามารถเลือกระบบการควบคุมได้

ตารางแสดงระบบการควบคุมเชิงกลยุทธ์ชนิดต่าง ๆ ที่ผู้บริหารสามารถใช้เพื่อตรวจสอบและร่วมมือในกิจกรรมขององค์การ


การควบคุมทางการเงิน (Financial controls) ดังที่กล่าวมาแล้วว่าวิธีการวัดที่ง่ายที่สุดที่ผู้บริหารและผู้ถือหุ้นอื่น ๆ สามารถใช้เพื่อตรวจสอบและประเมินผลการปฏิบัติงานของบริษัท ได้แก่ การควบคุมทางการเงิน (Financial control) โดยหลักการ ผู้บริหารกลยุทธ์จะเลือกเป้าหมายทางการเงินซึ่งบรรลุผลสำเร็จด้านการเติบโต (Growth) ความสามารถในการทำกำไร (Profitability) และเป้าหมายด้านผลตอบแทนผู้ถือหุ้น (Return to shareholder goals)
ผลการปฏิบัติงานของบริษัทหนึ่ง สามารถนำไปเปรียบเทียบกับอีกบริษัทหนึ่งในรูปแบบของราคาตลาดหุน (Stock market price) ผลตอบแทนจากการลงทุน (Return on investment ) ส่วนครองตลาด (Market share ) หรือกระแสเงินสด (Cash flow) ดังนั้นผู้บริหารกลยุทธ์และผู้ถือหุ้นอื่น ๆ สามารถนำไปใช้เป็นส่วนหนึ่งในการประเมินผลการปฏิบัติงานของบริษัทได้
ราคาหุ้น (Stock price) ใช้เป็นมาตรวัดถึงผลการปฏิบัติงานของบริษัทในเบื้องต้น เพราะราคาหุ้นจะใช้เป็นเครื่องวัดผลการทำงานของบริษัท ซึ่งมูลค่าหุ้นจะเป็นเครื่องชี้ความคาดหวังของตลาด สำหรับผลการปฏิบัติงานของบริษัทในอนาคต ดังนั้นการเคลื่อนไหวของราคาหุ้นจะทำให้ผู้ถือหุ้นได้รับข้อมูลย้อนกลับถึงผลการปฏิบัติงานอขงผู้บริหาร และของบริษัท ราคาตลาดหุ้นจะเป็นเครื่องวัดที่สำคัญของผลการปฏิบัติงาน เพราะผู้บริหารระดับสูงจะใช้การติดตามอย่างรอบคอบและใกล้ชิดตลอดจนมีความอ่อนไหวต่อการขึ้นลงของราคาหุ้น
ผลตอบแทนจากการลงทุน (Return on investment (ROI) ผลตอลแทนจากการลงทุนสามารถคำนวณได้จากรายได้สุทธิ หารด้วย สินทรัพย์รวม ซึ่งเป็นวิธีการควบคุมทางการเงินวิธีหนึ่งที่ได้รับความนิยมอย่างแพร่หลาย ในระดับบริษัท การประเมินผลการปฏิบัติงานโดยรวม ของบริษัทจะสามารถนำไปเปรียบเทียบกับบริษัทอื่น ๆ เพื่อประเมินการทำงานที่สำคัญ ผู้บริหารระดับสูงจะต้องตรวจสอบกลยุทธ์ที่ได้กระทำไปแล้ว โดยนำไปเปรียบเทียบกับผลการปฏิบัติงานของบริษัทที่คล้ายคลึงกัน ตัวอย่าง ในอุตสาหกรรมเครื่อง Computer ส่วนบุคคล เช่น Apple จะใช้ ROI เป็นเครื่องชี้วัดผลการปฏิบัติงานที่สัมพันธ์กับคู่แข่งขัน ROI จะเป็นเครื่องชี้ว่ามีปัญหากับกลยุทธ์ของบริษัทหรือโครงสร้าง
ROI สามารถนำมาใช้ในระดับแผนกภายในบริษัท เพื่อที่จะตัดสินการปฏิบัติงานโดยเปรียบเทียบระหว่างแผนกในบริษัทเดียวกัน หรือเปรียบเทียบกับบริษัทที่มีโครงสร้างภายในคล้ายคลึงกัน บ่อยครั้งที่การบริหารจะสามารถตรวจสอบได้โดยตรงจากผลการปฏิบัติงานของแผนกหนึ่งเปรียบเทียบกับอีกแผนกหนึ่ง ตัวอย่าง General Motors ได้เคยทำโครงสร้างให้เป็นแบบหน่วยงานเป็นส่วน ๆ เพราะต้องการจะใช้ให้เป็นมาตรฐาน ซึ่งทำให้ผู้บริหาระดับสูงของ GM ได้รับข่าวสารข้อมูลเกี่ยวกับข้อมูลที่สำคัญของฝ่ายต่าง ๆ ซึ่งเอื้อประโยชน์ในการจัดสรรทุนตามการปฏิบัติงานที่เกี่ยวข้องในลักษณะเดียวกัน
บริษัทผู้ผลิตมักจะจัดตั้งหน่วยงานผลิตในทำเลที่ตั้งต่าง ๆ ทั้งในประเทศและทั่วโลก เพื่อที่จะได้สามารถตรวจสอบผลการปฏิลัติงานที่ในแต่ละฝ่าย ตัวอย่าง Xerox ต้องการที่จะพิสูจน์ประสิทธิภาพของหน่วยงานในประเทศสหรัฐอเมริกา โดยทำการเปรียบเทียบกำไรกับหน่วอยงานที่อยู่ในประเทศญี่ปุ่น ROI จะเป็นวิธีที่ใช้ในการควบคุมในระดับหน่วยงานโดยเฉพาะการให้ผลตอบแทนต่อผู้บริหาร โดยยึดสมรรถภาพเปรียบเทียบกับหน่วยงานอื่น ผู้บริหารหน่วยงานที่ประสบความสำเร็จมากที่สุด จะได้รับการเลื่อนขั้นเป็นผู้บริหารต่อไป
การที่ราคาหุ้นตกต่ำหรือ ROI ไม่เป็นไปตามเป้าหมาย อาจเป็นเครื่องบ่งชี้ว่าจำเป็นต้องมรการแก้ไขปรับปรุงหน่อยงานของบริษัทใหม่อีกครั้ง เพื่อให้บรรลุวัตถุประสงค์ของบริษัท เช่น การปรบปรุงองค์การซึ่งนำไปสู่สภาพคล่อง (Liquidation) และการใช้กลยุทธ์การไม่ลงทุน (Divestiture) และเป็นเครื่องชี้ความเป็นผู้นำกลยุทธใหม่ เช่น เมื่อไม่นานมานี้ CEO ของบริษัท American express, Digital Equipment, Westinghouse และ GM ถูกบีบให้ลาออกจากคณะกรรมการบริหาร โดยมีสาเหตุมาจากผลการปฏิบัติงานของบริษัทลดลงเมื่อเปรียบเทียบกับคู่แข่งขัน
การควบคุมการผลิต (Output controls) ขณะที่เป้าหมายทางการเงินและการควบคุมเป็นส่วนสำคัญของการ์ดคะแนนความสมดุล (Balance scorecard) ซึ่งจะบอกผู้บริหารว่าจะสร้างเสริมกลยุทธ์ที่ดีได้อย่างไร เพื่อให้มีข้อได้เปรียบทางการแข่งขันและสร้างเสริมความสามารถให้คงอยู่ในอนาคต เมื่อผู้บริหารกลยุทธ์ปฏิบัติการด้วยวิธีการใช้การ์ดคะแนนความสมดุล (Balance scorecard) จะจัดตั้งเป้าหมายและวัดผลเพื่อประเมินประสิทธิภาพ คุณภาพ นวัตกรรม และการตอบสนองต่อลูกค้า โดยผู้บริหารจะใช้วิธีการควบคุมผลผลิต (Output control) ซึ่งเป็นระบบของการควบคุมที่ผู้บริหารกลยุทธ์จะใช้ประเมินหรือคาดคะเนเป้าหมายของผลการปฏิบัติงานที่เหมาะสมของแต่ละฝ่าย แผนกงาน หน่วยงาน และพนักงานเพื่อวัดผลการปฏิบัติงานที่แท้จริง ที่สัมพันธ์กับเป้าหมายเหล่านั้น โดยทั่วไประบบให้ผลตอบแทนจะเชื่อมโยงผลการปฏิบัติงานที่มีต่อเป้าหมายกับระบบควบคุมภายนอก และจัดหาโครงสร้างที่จูงใจต่อพนักงานทุกระดับในองค์การ

เป้าหมายของแผนก (Divisional goals) จะเป็นเครื่องแสดงความคาดหวังของผู้บริหาร บริษัทเกี่ยวกับผลการปฏิบัติงายของแต่ละแผนกในด้านประสิทธิภาพ คุณภาพ นวัตกรรม และการตอบสนองต่อลูกค้า โดยทั่วไปผู้บริหารบริษัทมักจะตั้งเป้าหมายของแผนกที่ท้าทายเพื่อกระตุ้นผู้บริหารแผนกให้สร้างสรรค์กลยุทธ์และโครงสร้างที่มีประสิทธิผลให้มากขึ้นในอนาคต ตัวอย่าง CEO ของ General Electric ได้จัดตั้งเป้าหมายการทำงานที่ชัดเจนสำหรับ GE กว่า 150 แผนก โดยเขาตั้งความหวังว่าทุกแผนกจะต้องมีส่วนครองตลาดเป็นลำดับที่หนึ่งหรือสองในแต่ละอุตสาหรรม ผู้บริหารแผนกจะมีอิสระในการสร้างกลุยทธ์บรรลุเป้าหมาย สร้างวิธีการเพิ่มประสิทธิภาพ นวัตกรรม และอื่น ๆ

เป้าหมายระดับหน้าที่และบุคคล (Functional and individual goals) การควบคุมผลผลิตในระดับหน้าที่และระดับบุคลจะต้องมีการควบคุมอย่างต่อเนื่องจากระดับแผนก ผู้บริหารระดับแผนกจะตั้งเป้าหมายสำหรับผู้บริหารระดับหน้าที่เพื่อให้แผนกบรรลุเป้าหมาย ในระดับแผนก เป้าหมายตามหน้าที่ถูกกำหนดขึ้นเพื่อกระตุ้นการพัฒนาความสามารถเพื่อสร้างข้อได้เปรียบทางการแข่งขัน 4 ประการ ได้แก่
1.ประสิทธภาพ
2.คุณภาพ
3.นวัตกรรม
4.การตอบสนองต่อลูกค้า
เป้าหมายที่มีต่อผลการปฏิบัติงานตามหน้าที่จะได้รับการประเมินคุณค่า เช่น ในหน้าที่การขายคือ เป้าหมายจะสัมพันธ์กับประสิทธิ์ภาพ (ต้นทุนต่อยอดขาย) คุณภาพ (จำนวนของสินค้าที่รับคืน) และการตอลสนองต่อลูกค้า (เวลาที่ใช้ในการตอบสนองความต้องการของลูกค้า) ขั้นสุดท้ายผู้บริหารระดับหน้าที่จะตั้งเป้าหมายเพื่อให้พนักงานแต่ละคนสามารถบรรลุเป้าหมายในระดับหน้าที่ได้ เช่น พนักงานขายสามารถที่จะตั้งเป้าหมายเฉพาะซึ่งสัมพันธ์กับเป้าหมายตามหน้าที่

การบริหารโดยวัตถุประสงค์ (Management by objectives (MBO)) เป็นระบบของการประเมินค่า ด้วยความสามารถของผู้บริหารเอง ซึ่งจะทำให้สามารถบรรลุวัตถุประสงค์ หรือบรรลุผลการปฏิบัติงานและมาตรฐานที่กำหนดไว้ โดยให้เป็นไปตามงบประมาณที่ตั้งไว้ เป็นวิธีการควบคุฒผลผลิตจะมีประสิทธิภาพสูงสุด หลายองค์การนำไปปฏิบัตโดยการใช้การบริหารโดยวัตถุประสงค์ ซึ่งการบริหารโดยวัตถุประสงค์จะมีขั้นตอนดังต่อไปนี้
1.ตั้งเป้าหมายและวัตถุประสงค์ในแต่ละระดับขององค์การ (Specific goals and objectives are established at each level of the organization) การบริหารโดยวัตถุประสงค์เริ่มต้น เมื่อผู้บริหารบริษัทจัดตั้งวุตถุประสงค์โดยรวมขององค์การ เช่น เป้าหมายของการทำงานทางการเงิน เมื่อได้ทำการตกลงในรายละเอียด แล้วผู้บริหารทุกระดับชั้นก็จะตั้งวัตถประสงค์ที่สอดคล้องเป็ฯลำดับขั้นลงมา เพื่อให้บรรลุวัตถุประสงค์ของบริษัท
2.การกำหนดเป้าหมายเป็นกระบวนการที่มีส่วนร่วม (Goal setting is a participatory process) สิ่งสำคัญที่สุดของการบริหารโยวัตถุประสงค์ ได้แก่ ผู้บริหารทุกระดับชั้นจะต้องทำความเข้าใจกับผู้ใต้บังคับบัญชา เพื่อหาวัตถุประสงค์ที่เหมาะสมในการตัดสินปัญหาทางงบประมาณร่วมกัน เพื่อให้ได้ข้อสรูปตามเปาหมายและต้นทุนขององค์การ
3.การประเมินผลความก้าวหน้าเป็นระยะ ๆ เพื่อให้เป็นไปตามเป้าหมาย (Periodic review of progress toward meeting goals) เมื่อทำความตกลงในเรื่องเป้าหมายร่วมกันแล้ว ผู้บริหารทุกระดับจะต้องประชุมร่วมกันอย่างสม่ำเสมอเพื่อประเมินผลความก้าวหน้า

การควบคุมพฤติกรรม (Behavior controls) เป็นการสร้างความเข้าใจเกียวกับกฎเกณฑ์และขั้นตอนการทำงานเพื่อนำไปสู่การกระทำหรือพฤติกรรมของแผนก หน้าที่ และพนักงานแต่ละคน ขั้นตอนแรกในการนำกลยุทธ์ไปปฏิบัติ ได้แก่ การที่ผู้บริหารได้ออกแบบโครงสร้างขององค์การอย่างเหมาะสมที่จะทำให้การทำงายของโครงสร้างดำเนินไปได้ อย่างไรก็ตาม พนักงานจะต้องเรียนรู้ชนิดของพฤติกรรมที่พวกเขาคาดหวังในการปฏิบัติงาน ซึ่งผู้บริการจะสั่งงานตามสายการบังคับบัญชาขององค์การ
การใช้การควบคุมพฤติกรรมนั้นเป็น การสร้างพฤติกรรมให้เป็นมาตรฐานตามกฎเกณฑ์ การทำผลผลิตให้เป็นไปตามที่คาดหวัง ถ้าพนักงานปฏิบัติตามกฎจะทำให้การปฏิบัติงานและการตัดสินใจเป็นไปตามแบบอย่าง ผลลัพธ์ที่ออกมาก็จะสามารถคาดคะเนได้อย่างแม่นยำและเป็นไปตามเป้าหมายของระบบการควบคุม ซึ่งการควบคุมพฤติกรรมจะมีเป้าหมายหลักอยู่ที่งบประมาณการดำเนินงาน และการปฏิบัติตามมาตรฐาน
1.งบประมาณการดำเนินงาน (Operation budgets) งบประมาณดำเนินการจะกำหนดว่าผู้บริหารและพนักงานจะเข้าถึงเป้าหมายนั้นได้อย่างไร งบประมาณการดำเนินงานจะเป็นเสมือนแบบพิมพ์เขียวที่จะกำหนดว่าผู้บริหารควรใช้ทรัพยากรขององค์การอย่างไรเพื่อให้บรรลุเป้าหมายขององค์การอย่างมีประสิทธิภาพที่สุด โดยทั่วไปผู้บริหารของแต่ละระดับจะเป็นผู้จัดสรรทรัพยากรให้กบผู้ใต้บังคับบัญชาตามลำดับ เพื่อใช้เป็นทรัพยากรในการผลิตสินค้าและบริการ และผู้บริหารจะต้องตัดสินใจในการจัดสรรงบประมาณสำหรับกิจกรรมต่าง ๆ ขององค์การ ผู้บริหารระดับต้นจะได้รับการประเมินคาจากความสามารถในการดำเนินงานให้อยู่ในงบประมาณ และใช้งบประมาณนั้นให้เกิดประโยชน์มากที่สุด ตัวอย่าง ผู้บริหารของ GE (หน่วยผลิตเครื่องซักผ้า) อาจมีงบประมาณ 50 ล้านบาท สำหรับการพัฒนาและขายผลิตภัณฑ์ใหม่ และจะต้องตัดสินใจในการจัดสรรงบประมาณให้กับแผนกต่าง ๆ เช่น แผนก R&D แผนกวิศวรรม แผนกการตลาด หรืออื่น ๆ เพื่อให้แต่ละหน่วยงานนั้นดำเนินงานให้ได้ผลกำไรมากที่สุด โดยทั่วไปแล้วในแต่ละแผนกขององค์การขนาดใหญ่จะดำเนินงานในลักษะศูนย์ทำกำไรอิสระ ซึ่งผู้บริหารบริษัทจะประเมินผลการปฏิบัติงานของแต่ละแผนกโดยให้สัมพนธ์กับการสร้างกำไรของบริษัท

ความเป็นมาตรฐาน (Standardization) เป็นระดับของความเป็นรูปแบบเดียวกันของกระบวนการและสภาพการซึ่งเกี่ยวกับงานการบริหารการทดสอบ เช่น การกำหนดคุณภาพและปริมาณเพื่อใช้เป็นเกณฑ์วัดผลงาน ในทางปฏิบัติมี 3 สิ่งที่องค์การสามารถใช้เป็นมาตรฐาน ได้แก่ 1.ปัจจัยนำเข้า 2.กิจกรรมการผลิต 3.ผลผลิต โดยมีรายละเอียดดังนี้
1.ความเป็นมาตรฐานของปัจจัยนำเข้า (Atandardization of inputs) วิธีหนึ่งซึ่งองค์การจะใช้ในการควบคุมพฤติกรรมทั้งของบุคคลและทรัพยากร ได้แก่ การปรับมาตรฐานของปัจจัยนำเข้าสู่องค์การ หมายความว่า ผู้บริหารจะคัดเลือกปัจจัยนำเข้าให้สอดคล้องกับมาตรฐานหรือข้ากำหนด และตัดสินว่าจะใช้ปัจจัยนำเข้าชนิดใด ถ้าพนักงานคือปัจจัยนำเข้า ดังนั้นวิธีการทำให้เป็นมาตรฐานก็คือจะต้องกำหนดถึงคุณภาพ และทกษะของพนักงาน ถ้าปัจจัยนำเข้าเป็นวัตถุดิบหรือชิ้นส่วนที่จะต้องนำมาประกอบก็จะใช้เกณฑ์เดียวกัน
2.ความเป็นมาตรฐานของกิจกรรมการผลิต (Standardization of conversion activities) เป้าหมายของกระบวนการผลิตที่เป็นมาตรฐานจะเป็นแผนงานกิจกรรมการทำงานซึ่งทำด้วยวิธีเดียวกันซ้ำ ๆ มีการควบคุมพฤติกรรม เช่น กฎเกณฑ์และวิธีการดำเนินงาน ซึ่งเป็นวิธีที่สำคัญในการทำให้บริษัทสามารถมีระดับของปริมาณการผลิตที่เป็นไปตามมาตรฐาน

3.ความเป็นมาตรฐานของผลผลิต (Standardization of outputs) หมายถึง ผลผลิตที่เป็นมาตรฐานตามเป้าหมาย โดยมีการกำหนดลักษณะของผลิตภัณฑ์หรือบริการว่าควรจะเป็นอย่างไร บริษัทจะต้องใช้การควบคุมคุณภาพและใช้เกณฑ์ต่าง ๆ เพื่อวัดมาตรฐานนี้ โดยพิจารณาจากสินค้าที่ถูกส่งคืนจากลูกค้าหรือความไม่พอใจในสินค้าของลูกค้า เป็นต้น

วันพุธที่ 25 กันยายน พ.ศ. 2556

การออกแบบระบบความคุมกลยุทธ์

การปรับโครงสร้างและการควบคุมกลยุทธ์
การปฏิบัติตามกลยุทธ์ ต้องการการเลือกสรรโครงการสร้างที่เหมาะสมและมีการควบคุมเพื่อให้เกิดความสำเร็จในการใช้กลยุทธ์ โครงสร้างขององค์การจะระบุงานและบทบาทให้กับบุคลากร และระบุว่าจะประสานงานได้อย่างไร อย่างไรก็ตามโครงสร้างองค์การไม่สามารถจัดหากลไกที่จะทำให้บุคลากรได้รับการจูงใจให้ทำงานได้ ดังนั้นจึงต้องมีการควบคุมกลยุทธ์ ซึ่งจุดมุ่งหมายของการควบคุมกลยุทธ์ก็เพื่อให้ผู้บริหารมี
1.วิธีการจูงใจพนักงานให้ทำงานตามเป้าหมายองค์การ
2.วิธีการป้อนกลับข้อมูลเพื่อตรวจสอบการทำงานขององค์การและสมาชิก
การควบคุมกลยุทธ์
การควบคุมกลยุทธ์
(Strategic control) คือ กระบวนการซึ่งผู้บริหารติดตามกิจกรรมและสมาชิกขององค์การอย่างสม่ำเสมอ เพื่อประเมินว่ากิจกรรนั้น ๆ ได้รับการปฏิบัติอย่างมีประสิทธิภาพและประสิทธิผลหรือไม่ เพื่อจะได้ทำการแก้ไขและปรับปรุงผลการปฏิบัติงานของสมาชิกขององค์การ ขั้นตอนการควบคุมกลยุทธ์มีดังนี้
1.ผู้บริหารกลยุทธ์จะต้องเลือกโครงสร้างขององค์การและกลยุทธ์ขององการที่จะเอื้อประโยชน์ในการใช้ทรัพยากรอย่างมีประสิทธิผลสูงสุดในการที่จะสร้างสรรค์คุณค่าให้กับลูกค้า
2.ผู้บริหารกลยุทธ์จะต้องสร้างระบบการควบคุมที่จะติดตามและประเมินผล ตลอดจนมีการปรับปรุงและเปลี่ยนแปลงให้เหมาะสมอยู่ตลอดเวลา
การควบคุมกลยุทธ์ไม่เพียงแต่จะหมายถึงปฏิกิริยาที่มีต่อเหตุการณ์เท่านั้น แต่ยังหมายถึงการทำให้องค์การดำเนินการไปตามแนวทางที่วางไว้ การคาดหมายเหตุการณ์ต่าง ๆ ที่คาดว่าจะเกิดขึ้น และตอบสนองอย่างรวดเร็วต่อโอกาสใหม่ ๆ จุดมุ่งหมายของกลยุทธ์ หมายถึง การที่ผู้บริหารกลยุทธ์คำนึงถึงการสร้างทรัพยากรสำหรบองค์การ และความสามารถขององค์การที่จะควบคุมสภาพแวดล้อม แสดงว่าผู้บริหารมุ่งเน้นไปที่ความตั้งใจขององค์การเพื่อต้องการเอาชนะคู่แข่งและจูงใจพนักงานด้วยการสื่อสารคุณค่าต่อกลุ่มเป้าหมาย การสร้างสิ่งรองรับสำหรับบุคลากรและทีมงานด้วยความขยันขันแข็ง และใช้ความตั้งใจในการจัดสรรทรัพยากร เบื้องหลังแนวความคิดของจุดมุ่งหมายของกลยุทธ์ คือ วิสัยทัศน์ของการควบคุมกลยุทธ์ ซึ่งเป็นเป้าหมายที่ท้าทายสำหรับผู้บริหารและพนักงานทุกคน แล้วพัฒนาการวัดขนาดการทำงานที่กระตุ้นผู้บริหารและพนักงานให้ทำงานอย่างมีประสิทธิภาพ
ดังนั้น การควบคุมกลยุทธ์ จึงเป็นการติดตามว่าองค์การและพนักงานทำงานได้บรรลุเป้าหมายหรือไม่ และมีการใช้ทรัพยากรที่มีอยู่ให้เกิดประโยชน์เพียงใด ทั้งนี้ต้องคำนึงการจูงใจพนักงานโดยมุ่งไปที่ปัญหาสำคัญที่องค์การกำลังเผชิญอยู่ ทั้งในปัจจุบันและอนาคต เพื่อให้การทำงานบรรลุผลซึ่งจะช่วยให้องค์การมีการดำเนินงานที่ดีขึ้นตลอดเวลา
ความสำคัญของการควบคุมกลยุทธ์
(The importance of  strategic control) ในการควบคุมกลยุทธ์นั้น จะต้องพิจารณาว่าจะสามารถช่วยให้ผู้บริหารได้รับประสิทธิภาพ คุณภาพ นวัตกรรม และการตอลสนองต่อลูกค้า โดยใช้หลักการสร้างข้อได้เปรียบทางการแข่งขัน 4 ประการดังนี้
1.การควบคุมและประสิทธิภาพ (Control and efficiency) เป็นการพิจารณาถึงการใช้ทรัพยากรว่ามีประสิทธิภาพเพียงใด ผู้บริหารจะต้องสามารถวัดค่าที่แน่นอนออกมาได้ว่าใช้ปัจจัยนำเข้าได้แก่ วัตถุดิบ ทรัพยากรมนุษย์ และอื่น ๆ ซึ่งใช้ในการผลิตผลผลิตจำนวนหนึ่งเท่าไร ระบบการควบคุม (Control system) เป็นการวัดที่จะทำให้ผู้บริหารสามารถเปลี่ยนแปลงวิธีผลิตสินค้าและบริการ และผ่านการตรวจสอบแล้วว่าได้ผลดีกว่าเดิม จะถือว่าเป็นความสำเร็จของผู้บริหาร
2.การควบคุมและคุณภาพ (Control and quality) ปัจจุบันมีการเพิ่มการแข่งขันด้านคุณภาพของสินค้าและบริการมากขึ้น ตัวอย่าง ในอุตสาหกรรมผลิตรถยนต์ จะมีการแข่งขันด้านราคา ลักษณะรูปแบบ และความเชื่อถือได้ เมื่อใดที่ลูกค้าซื้อรถ Ford, Toyota, หรือ Honda จะมุ่งความสำคัญที่คุณภาพของสินค้า การควบคุมขององค์การ จำเป็นต้องควบคุมคุณภาพของสินค้าและบริการ โดยการให้ข้อมูลป้อนกลับในด้านคุณภาพของผลิตภัณฑ์แก่ผู้บริหารโดยการตรวจสอบปัญหาและข้อเสนอแนะของลูกค้า เพื่อให้รถใหม่ที่จะเข้าสู่ตลาดประสบความสำเร็จ
ผู้บริหารกลยุทธ์ควรสร้างระบบการควบคุมที่จะทำการตรวจสอบสินค้าและบริการอย่างต่อเนื่อง เพื่อให้มีการปรับปรุงคุณภาพตลอดเวลา ซึ่งจะนำมาสู่การสร้างข้อเสียเปรียบทางการแข่งขัน ผู้บริหารอาจใช้วิธีการบริหารคุณภาพรวม
(Total Quality Management :TQM) โดยระบบการควบคุมขององค์การจะมุ่งเน้นที่การปรับปรุงคุณภาพโดยมุ่งการตอบสนองความพึงพอใจและการสร้างคุณค่าให้กับลูกค้า
3.การควบคุมแล้วนวัตกรรม (Control and innovation) การควบคุมกลยุทธ์อาจจะช่วยยกระดับนวัตกรรมในองค์การความสำเร็จของนวัตกรรม จะเริ่มเมื่อผู้บริหารสามารถทำให้พนักงานเกิดความรู้สึกว่ามีการกระจายอำนาจไปยังพนักงาน ทำให้มีการสร้างสรรค์สิ่งต่าง ๆ ในองค์การตามที่ได้รับมอบอำนาจมา การใช้ระบบการควบคุมที่เหมาะสมจะเป็นการท้าทายในการบริหารและเป็นวัฒนธรรมขององค์การที่มีความสำคัญมากขึ้น
4.การควบคุมและการตอบสนองต่อลูกค้า (Control and responsiveness to customers) ผู้บริหารกลยุทธ์จะสามารถช่วยให้องค์การมีการตอบสนองต่อลูกค้าเพิ่มมากขึ้น ถ้ามีการพัฒนาระบบการควบคุมที่สามารถประเมินถึงวิธีการที่พนักงานให้บริการลูกค้า การติดตามพฤติกรรมของพนักงานอาจช่วยให้ผู้บริหารสามารถค้นหาวิธีที่จะยกระดับการทำงานของพนักงานได้ หรืออาจใช้การฝึกอบรมหรือการทำงานด้วยวิธีการใหม่ ๆ ที่จะส่งเสริมให้พนักงานปฏิบัติงานได้อย่างมีประสิทธิภาพขึ้น เมื่อใดที่พนักงานทราบว่าพฤติกรรมของเขามีการติดตาม ก็จะเป็นแรงจูงในให้ทำงานและปฏิบัติต่อลูกค้าได้ดียิ่งขึ้น
การควบคุมกลยุทธ์โดยใช้การ์ดคะแนนความสมดุล (A balanced scorecard approach to strategic control) การควบคุมกลยุทธ์จะเป็นการสร้างรายละเอียดของการตรวจสอบผลการปฏิบัติงานที่จะเอื้อประโยชน์ให้ผู้บริหาร ตลอดจนการประเมินค่าการใช้ทรัพยากรขององค์การให้เกิดประโยชน์สูงสุด เพื่อสร้างคุณค่าและตรวจสอบโอกาสใหม่ ๆ เพื่อสร้างสรรค์คุณค่าในอนาคต โมเดลสำหรับผู้บริหารที่จะใช้ในการสร้างระบบการควบคุมกลยุทธ์ได้อย่างถูกต้อง เพื่อเพิ่มพูนผลการปฏิบัติงานขององค์การก็คือ การใช้การ์คคะแนนความสมดุล
จากโมเดลการ์ดคะแนนความสมดุล
(Balanced scorecard model) โดยปกติผู้บริหารกลยุทธ์จะใช้การวัดทางการเงินเพื่อตรวจสอบผลการปฏิบัติงาน ได้แก่ กำไร และผลตอบแทนจากการลงทุน ผู้บริหารกลยุทธ์จะต้องได้รับข้อมูลผลการปฏิบัติงานที่แท้จริงขององค์การ เพราะข้อมูลทางการเงินจะส่งเสริมการวัดผลการปฏิบัติงาน ซึ่งจะเป็นเครื่องชี้ว่าองค์การบรรลุผลสำเร็จในการดำเนินการมากน้อยเพียงใด
การ์ดคะแนนความสมดุล
(Balanced scorecard) จะอาศัยหลักภารกิจและเป้าหมายขององค์การ ผู้บริหารกลยุทธ์จะพัฒนากลุ่มของกลยุทธ์ที่จะสร้างข้อได้เปรียบทางการแข่งขัน เพื่อให้บรรลุเป้าหมายเพื่อที่จะจัดตั้งโครงสร้างขององค์การให้สอดคล้องกับการใช้ทรัพยากร การที่จะประเมินค่าความสำเร็จของกลยุทธ์และโครงสร้างนั้น ผู้บริหารจะต้องพัฒนาสมรรถภาพโดยเฉพาะ เพื่อให้ประสบความสำเร็จโดยใช้ข้อได้เปรียบทางการแข่งขัน 4 ประการ ดังนี้
1.ประสิทธิภาพ(Efficiency) สามารถวัดได้จากระดับต้นทุนการผลิต จำนวนชั่วโมงที่ใช้ในการผลิตและต้นทุนของวัตถุดิบ
2.คุณภาพ (Quality) วัดได้จากจำนวนผลิตภัณฑ์ที่เสียไประหว่างกระบวนการผลิต ผลิตภัณฑ์ที่มีปัญหาที่ลูกค้าส่งคืน และระดับความเชื่อถือได้ของผลิตภัณฑ์เป็นเวลานาน
3.นวัตกรรม(Innovation) สามารถวัดได้จากจำนวนผลิตภัณฑ์ใหม่ที่นำเข้าสู่ตลาด และเวลาที่จะพัฒนาผลิตภัณฑ์รุ่นใหม่ เปรียบเทียบกับการแข่งขันและต้นทุนในการพัฒนาผลิตภัณฑ์
4.การตอบสนองต่อลูกค้า (Responsiveness to costomers) สามารถวัดได้จากจำนวนลูกค้าเพิมที่ซื้อ ระดับเวลาของการส่งมอบสินค้าตรงเวลา และระดับคุณภาพการใช้บริการลูกค้า
วิธีที่ผู้บริหารกลยุทธ์สามารถสร้างข้อได้เปรียบทางการแข่งขัน คือ การเข้าสู่ผลการปฏิบัติงานขององค์การ โดยใช้การวัดในด้านการเงิน เช่น กระแสเงินสด
(Cash Flow) การเจริญเติมโตของยอดขายรายไตรมาส (Quarterly sales growth) การเพิ่มของส่วนครองตลาด (Increase in market share) หรือผลตอบแทนจากการลงทุน (Return on investment) หรือส่วนของผู้ถือหุ้น (Equity) และเมื่อทำการประเมินค่าการ์ดคะแนนความสมดุล (Balanced scorecard) จะทำให้ผู้บริหารกลยุทธ์ทราบว่าจะอยู่ในตำแหน่ง จะเข้าสู่กิจกรรมเพื่อแก้ไขปัญหาหรือสร้างเสริมโอกาสใหม่ ๆ โดยการเปลี่ยนแปลงกลยุทธ์
ระบบการควบคุมกลยุทธ์

ระบบการควบคุมกลยุทธ์ (Strategic control systems) เป็นการวางเป้าหมายที่มีรูปแบบที่เป็นทางการ (Formal target-setting) การวัดผล (Measurement) และระบบป้อนกลับข้อมูล (Feedback systems) ซึ่งเอื้อประโยชน์ให้ผู้บริหารกลยุทธ์ ในการประเมินผลความสำเร็จขององค์การได้ดีกว่าในด้านประสิทธิภาพ คุณภาพ นวัตกรรม และการตอบสนองของลูกค้า โดยจะมีลักษณะ 3 ประการ คือ
1.มีความยืดหยุ่น (Flexible) พอที่ผู้บริหารจะตอบสนองความจำเป็นต่อเหตุการณ์ไม่คาดฝัน
2.เป็นข้อมูลที่ถูกต้องแม่นยำ (Accurate information) ที่จะสะท้อนภาพผลการปฏิบัติงานขององค์การที่แท้จริง
3.ให้ข้อมูลถูกต้องและทันเวลาต่อผู้บริหาร (Timely manner) เพื่อให้การตัดสินใจอยู่บนพื้นฐานของข้อมูลที่ทันสมัยและถูกต้อง
ขั้นตอนในการออกแบบระบบการควบคุมกลยุทธ์ที่มีประสิทธิผล มี 4 ขั้นตอนดังต่อไปนี้
1.การสร้างมาตรฐานและเป้าหมายเพื่อใช้เป็นเกณฑ์การประเมินผลการปฏิบัติงาน (Establish the standards and targets against which performance is to be evaluated) ผู้บริหารจะเลือกมาตรฐานและเป้าหมายเพื่อประเมินผลการปฏิบัติงานของบริษัท ซึ่งโดยทั่วไปมาตรฐานจะมาจากการบรรลุเป้าหมายด้านประสิทธิภาพ คุณภาพ นวัตกรรม และการตอบสนองของลูกค้าที่เหนือกว่าคู่แข่งขัน เป้าหมายผลการปฏิบัติงานเฉพาะจะมาจากกลยุทธ์ที่กระทำโดยบริษัท
2.สร้างระบบการวัดและการติดตามผลที่บ่งชี้ว่าจะเป็นไปตามมาตรฐานและเป้าหมายที่ต้องการ (Create the measuring and monitoring systems that indicate whether the standards and targets are being reached) บริษัทจะต้องจัดหากระบวนการใจการประเมินเป้าหมายที่ต้องการในการทำงานทุกระดับขององการ ในบางกรณีการวัดผลการปฏิบัติงานอาจทำได้อย่างสะดวก ตัวอย่าง ผู้บริหารสามารถตรวจสอบจำนวนลูกค้าที่มารับบริการโดยนับจากจำนวนใบเสร็จรับเงิน แต่ในหลาย ๆ กรณีการตรวจสอบผลการปฏิบัติงานก็เป็นเรื่องยาก เช่น การตรวจสอบผลการปฏิบัติงานของแผนกวิจัยและการพัฒนา ซึ่งยากและซับซ้อนอาจต้องใช้เวลาถึง 5 ปี ในการพัฒนาผลิตภัณฑ์ ซึ่งความยากและซักซ้อนดังกล่าวทำให้ผู้บริหารต้องใช้ระบบการควบคุมหลายวิธี
3.การเปรียบเทียบผลการปฏิบัติงานที่เป็นจริงกับเป้าหมายที่ตั้งไว้ (Compare actual performance against the established targets) ผู้บริหารจะต้องทำการประเมินว่าผลการปฏิบัติงานเบี่ยงเบนไปจากมาตรฐานและเป้าหมายที่ตั้งไว้ในขั้นที่ 1 อย่างไร ถ้าผลการปฏิบัติงานที่ได้สูงขึ้น ผู้บริหารอาจพิจารณาว่าเป็นเพราะมาตรฐานที่ตั้งเอาไว้ต่ำไป และจะต้องจัดการตั้งมาตรฐานให้อยู่ในระดับที่สูงขึ้นในโอกาสต่อไป
4.การแก้ไขปรับปรุงเมื่อไม่สามารถบรรลุมาตรฐานและเป้าหมาย (Initiate corrective action when it is decided that the standards and targets are not being achieved) เมื่อไม่สามารถบรรลุมาตรฐานและเป้าหมายที่กำหนดไว้ ผู้บริหารจะต้องมีการปรับปรุงแก้ไขเพื่อให้องค์การบรรลุเป้าหมาย การปรับปรุงแก้ไข หมายถึง การเปลี่ยนแปลงความคาดหมายของกลยุทธ์หรือโครงสร้างองค์การ ตัวอย่าง ผู้บริหารอาจลงทุนในทรัพยากรให้มากขึ้น เพื่อ ปรับปรุงการวิจัยและพัฒนา หรือการปรับเปลี่ยน หรือการตัดสินใจที่จะเปลี่ยนแปลง โครงสร้างองค์การ โดยมีเป้าหมายเพื่อที่จะดำรงความได้เปรียบทางการแข่งขัน

ข้อมูลจาก

การบริหารเชิงกลยุทธ์และกรณีศึกษา
ร.ศ.ศิริวรรณ เสรีรัตน์ และคณะ