ระบบการควบคุมกลยุทธ์ได้รับการพัฒนาเพื่อตรวจสอบผลการปฏิบัติงาน 4
ระดับในองค์การ คือ
1.ระดับบริษัท Croporate
2.ระดับแผนก Division
3.ระดับหน้าที่ Function
4.ระดับบุคคล Individual
ผู้บริหารทุกระดับจะต้องพัฒนาการตรวจสอบที่เหมาะสมในการประเมินผล ณ ระดับดังกล่าว เช่น วิธีการใช้การ์ดคะแนนความสมดุล (Balance scorecard approach) โดยวิธีการวัดเหล่านี้จะต้องสอดคล้องกับเป้าหมายที่เป็นไปได้ เพื่อให้บรรลุประสิทธิภาพ คุณภาพ นวัตกรรม และการสนองตอบต่อลูกค้าที่ดีกว่า ซึ่งจะต้องกระทำอย่างระมัดระวังเพื่อให้แน่ใจว่ามาตรฐานที่ใช้ในแต่ละระดับไม่เป็นสาเหตุที่ทำให้เกิดปัญหากับระดับอื่น ๆ เช่น ความพยายามในการปรับปรุงผลการปฏิบัติงานของแผนกจะต้องไม่ขัดแย้งกับผลการปฏิบัติงานบริษัท นอกจากนั้นการควบคุมในแต่ละระดับควรจะต้องมีการจัดพื้นฐานซึ่งผู้บริหารระดับที่ต่ำลงไป สามารถเลือกระบบการควบคุมได้
1.ระดับบริษัท Croporate
2.ระดับแผนก Division
3.ระดับหน้าที่ Function
4.ระดับบุคคล Individual
ผู้บริหารทุกระดับจะต้องพัฒนาการตรวจสอบที่เหมาะสมในการประเมินผล ณ ระดับดังกล่าว เช่น วิธีการใช้การ์ดคะแนนความสมดุล (Balance scorecard approach) โดยวิธีการวัดเหล่านี้จะต้องสอดคล้องกับเป้าหมายที่เป็นไปได้ เพื่อให้บรรลุประสิทธิภาพ คุณภาพ นวัตกรรม และการสนองตอบต่อลูกค้าที่ดีกว่า ซึ่งจะต้องกระทำอย่างระมัดระวังเพื่อให้แน่ใจว่ามาตรฐานที่ใช้ในแต่ละระดับไม่เป็นสาเหตุที่ทำให้เกิดปัญหากับระดับอื่น ๆ เช่น ความพยายามในการปรับปรุงผลการปฏิบัติงานของแผนกจะต้องไม่ขัดแย้งกับผลการปฏิบัติงานบริษัท นอกจากนั้นการควบคุมในแต่ละระดับควรจะต้องมีการจัดพื้นฐานซึ่งผู้บริหารระดับที่ต่ำลงไป สามารถเลือกระบบการควบคุมได้
ตารางแสดงระบบการควบคุมเชิงกลยุทธ์ชนิดต่าง ๆ
ที่ผู้บริหารสามารถใช้เพื่อตรวจสอบและร่วมมือในกิจกรรมขององค์การ
การควบคุมทางการเงิน (Financial controls) ดังที่กล่าวมาแล้วว่าวิธีการวัดที่ง่ายที่สุดที่ผู้บริหารและผู้ถือหุ้นอื่น
ๆ สามารถใช้เพื่อตรวจสอบและประเมินผลการปฏิบัติงานของบริษัท ได้แก่
การควบคุมทางการเงิน (Financial control) โดยหลักการ
ผู้บริหารกลยุทธ์จะเลือกเป้าหมายทางการเงินซึ่งบรรลุผลสำเร็จด้านการเติบโต (Growth) ความสามารถในการทำกำไร
(Profitability) และเป้าหมายด้านผลตอบแทนผู้ถือหุ้น (Return to shareholder
goals)
ผลการปฏิบัติงานของบริษัทหนึ่ง
สามารถนำไปเปรียบเทียบกับอีกบริษัทหนึ่งในรูปแบบของราคาตลาดหุน (Stock
market price) ผลตอบแทนจากการลงทุน (Return on investment ) ส่วนครองตลาด
(Market share ) หรือกระแสเงินสด (Cash flow) ดังนั้นผู้บริหารกลยุทธ์และผู้ถือหุ้นอื่น ๆ
สามารถนำไปใช้เป็นส่วนหนึ่งในการประเมินผลการปฏิบัติงานของบริษัทได้
ราคาหุ้น (Stock price) ใช้เป็นมาตรวัดถึงผลการปฏิบัติงานของบริษัทในเบื้องต้น
เพราะราคาหุ้นจะใช้เป็นเครื่องวัดผลการทำงานของบริษัท
ซึ่งมูลค่าหุ้นจะเป็นเครื่องชี้ความคาดหวังของตลาด
สำหรับผลการปฏิบัติงานของบริษัทในอนาคต
ดังนั้นการเคลื่อนไหวของราคาหุ้นจะทำให้ผู้ถือหุ้นได้รับข้อมูลย้อนกลับถึงผลการปฏิบัติงานอขงผู้บริหาร
และของบริษัท ราคาตลาดหุ้นจะเป็นเครื่องวัดที่สำคัญของผลการปฏิบัติงาน
เพราะผู้บริหารระดับสูงจะใช้การติดตามอย่างรอบคอบและใกล้ชิดตลอดจนมีความอ่อนไหวต่อการขึ้นลงของราคาหุ้น
ผลตอบแทนจากการลงทุน (Return on investment (ROI) ผลตอลแทนจากการลงทุนสามารถคำนวณได้จากรายได้สุทธิ
หารด้วย สินทรัพย์รวม ซึ่งเป็นวิธีการควบคุมทางการเงินวิธีหนึ่งที่ได้รับความนิยมอย่างแพร่หลาย
ในระดับบริษัท การประเมินผลการปฏิบัติงานโดยรวม
ของบริษัทจะสามารถนำไปเปรียบเทียบกับบริษัทอื่น ๆ เพื่อประเมินการทำงานที่สำคัญ
ผู้บริหารระดับสูงจะต้องตรวจสอบกลยุทธ์ที่ได้กระทำไปแล้ว โดยนำไปเปรียบเทียบกับผลการปฏิบัติงานของบริษัทที่คล้ายคลึงกัน
ตัวอย่าง ในอุตสาหกรรมเครื่อง Computer ส่วนบุคคล เช่น Apple จะใช้
ROI
เป็นเครื่องชี้วัดผลการปฏิบัติงานที่สัมพันธ์กับคู่แข่งขัน ROI
จะเป็นเครื่องชี้ว่ามีปัญหากับกลยุทธ์ของบริษัทหรือโครงสร้าง
ROI สามารถนำมาใช้ในระดับแผนกภายในบริษัท
เพื่อที่จะตัดสินการปฏิบัติงานโดยเปรียบเทียบระหว่างแผนกในบริษัทเดียวกัน
หรือเปรียบเทียบกับบริษัทที่มีโครงสร้างภายในคล้ายคลึงกัน
บ่อยครั้งที่การบริหารจะสามารถตรวจสอบได้โดยตรงจากผลการปฏิบัติงานของแผนกหนึ่งเปรียบเทียบกับอีกแผนกหนึ่ง
ตัวอย่าง General Motors ได้เคยทำโครงสร้างให้เป็นแบบหน่วยงานเป็นส่วน ๆ
เพราะต้องการจะใช้ให้เป็นมาตรฐาน ซึ่งทำให้ผู้บริหาระดับสูงของ GM
ได้รับข่าวสารข้อมูลเกี่ยวกับข้อมูลที่สำคัญของฝ่ายต่าง ๆ
ซึ่งเอื้อประโยชน์ในการจัดสรรทุนตามการปฏิบัติงานที่เกี่ยวข้องในลักษณะเดียวกัน
บริษัทผู้ผลิตมักจะจัดตั้งหน่วยงานผลิตในทำเลที่ตั้งต่าง ๆ
ทั้งในประเทศและทั่วโลก เพื่อที่จะได้สามารถตรวจสอบผลการปฏิลัติงานที่ในแต่ละฝ่าย
ตัวอย่าง Xerox ต้องการที่จะพิสูจน์ประสิทธิภาพของหน่วยงานในประเทศสหรัฐอเมริกา
โดยทำการเปรียบเทียบกำไรกับหน่วอยงานที่อยู่ในประเทศญี่ปุ่น ROI
จะเป็นวิธีที่ใช้ในการควบคุมในระดับหน่วยงานโดยเฉพาะการให้ผลตอบแทนต่อผู้บริหาร
โดยยึดสมรรถภาพเปรียบเทียบกับหน่วยงานอื่น
ผู้บริหารหน่วยงานที่ประสบความสำเร็จมากที่สุด
จะได้รับการเลื่อนขั้นเป็นผู้บริหารต่อไป
การที่ราคาหุ้นตกต่ำหรือ ROI ไม่เป็นไปตามเป้าหมาย
อาจเป็นเครื่องบ่งชี้ว่าจำเป็นต้องมรการแก้ไขปรับปรุงหน่อยงานของบริษัทใหม่อีกครั้ง
เพื่อให้บรรลุวัตถุประสงค์ของบริษัท เช่น การปรบปรุงองค์การซึ่งนำไปสู่สภาพคล่อง (Liquidation)
และการใช้กลยุทธ์การไม่ลงทุน (Divestiture) และเป็นเครื่องชี้ความเป็นผู้นำกลยุทธใหม่ เช่น
เมื่อไม่นานมานี้ CEO ของบริษัท American express, Digital Equipment, Westinghouse
และ
GM ถูกบีบให้ลาออกจากคณะกรรมการบริหาร
โดยมีสาเหตุมาจากผลการปฏิบัติงานของบริษัทลดลงเมื่อเปรียบเทียบกับคู่แข่งขัน
การควบคุมการผลิต (Output controls) ขณะที่เป้าหมายทางการเงินและการควบคุมเป็นส่วนสำคัญของการ์ดคะแนนความสมดุล
(Balance scorecard) ซึ่งจะบอกผู้บริหารว่าจะสร้างเสริมกลยุทธ์ที่ดีได้อย่างไร เพื่อให้มีข้อได้เปรียบทางการแข่งขันและสร้างเสริมความสามารถให้คงอยู่ในอนาคต
เมื่อผู้บริหารกลยุทธ์ปฏิบัติการด้วยวิธีการใช้การ์ดคะแนนความสมดุล (Balance
scorecard) จะจัดตั้งเป้าหมายและวัดผลเพื่อประเมินประสิทธิภาพ คุณภาพ นวัตกรรม
และการตอบสนองต่อลูกค้า โดยผู้บริหารจะใช้วิธีการควบคุมผลผลิต (Output
control) ซึ่งเป็นระบบของการควบคุมที่ผู้บริหารกลยุทธ์จะใช้ประเมินหรือคาดคะเนเป้าหมายของผลการปฏิบัติงานที่เหมาะสมของแต่ละฝ่าย
แผนกงาน หน่วยงาน และพนักงานเพื่อวัดผลการปฏิบัติงานที่แท้จริง
ที่สัมพันธ์กับเป้าหมายเหล่านั้น
โดยทั่วไประบบให้ผลตอบแทนจะเชื่อมโยงผลการปฏิบัติงานที่มีต่อเป้าหมายกับระบบควบคุมภายนอก
และจัดหาโครงสร้างที่จูงใจต่อพนักงานทุกระดับในองค์การ
เป้าหมายของแผนก (Divisional goals) จะเป็นเครื่องแสดงความคาดหวังของผู้บริหาร
บริษัทเกี่ยวกับผลการปฏิบัติงายของแต่ละแผนกในด้านประสิทธิภาพ คุณภาพ นวัตกรรม
และการตอบสนองต่อลูกค้า โดยทั่วไปผู้บริหารบริษัทมักจะตั้งเป้าหมายของแผนกที่ท้าทายเพื่อกระตุ้นผู้บริหารแผนกให้สร้างสรรค์กลยุทธ์และโครงสร้างที่มีประสิทธิผลให้มากขึ้นในอนาคต
ตัวอย่าง CEO ของ General Electric ได้จัดตั้งเป้าหมายการทำงานที่ชัดเจนสำหรับ GE กว่า 150 แผนก
โดยเขาตั้งความหวังว่าทุกแผนกจะต้องมีส่วนครองตลาดเป็นลำดับที่หนึ่งหรือสองในแต่ละอุตสาหรรม
ผู้บริหารแผนกจะมีอิสระในการสร้างกลุยทธ์บรรลุเป้าหมาย
สร้างวิธีการเพิ่มประสิทธิภาพ นวัตกรรม และอื่น ๆ
เป้าหมายระดับหน้าที่และบุคคล (Functional and individual
goals) การควบคุมผลผลิตในระดับหน้าที่และระดับบุคลจะต้องมีการควบคุมอย่างต่อเนื่องจากระดับแผนก
ผู้บริหารระดับแผนกจะตั้งเป้าหมายสำหรับผู้บริหารระดับหน้าที่เพื่อให้แผนกบรรลุเป้าหมาย
ในระดับแผนก
เป้าหมายตามหน้าที่ถูกกำหนดขึ้นเพื่อกระตุ้นการพัฒนาความสามารถเพื่อสร้างข้อได้เปรียบทางการแข่งขัน
4 ประการ ได้แก่
1.ประสิทธภาพ
2.คุณภาพ
3.นวัตกรรม
4.การตอบสนองต่อลูกค้า
เป้าหมายที่มีต่อผลการปฏิบัติงานตามหน้าที่จะได้รับการประเมินคุณค่า เช่น ในหน้าที่การขายคือ เป้าหมายจะสัมพันธ์กับประสิทธิ์ภาพ (ต้นทุนต่อยอดขาย) คุณภาพ (จำนวนของสินค้าที่รับคืน) และการตอลสนองต่อลูกค้า (เวลาที่ใช้ในการตอบสนองความต้องการของลูกค้า) ขั้นสุดท้ายผู้บริหารระดับหน้าที่จะตั้งเป้าหมายเพื่อให้พนักงานแต่ละคนสามารถบรรลุเป้าหมายในระดับหน้าที่ได้ เช่น พนักงานขายสามารถที่จะตั้งเป้าหมายเฉพาะซึ่งสัมพันธ์กับเป้าหมายตามหน้าที่
1.ประสิทธภาพ
2.คุณภาพ
3.นวัตกรรม
4.การตอบสนองต่อลูกค้า
เป้าหมายที่มีต่อผลการปฏิบัติงานตามหน้าที่จะได้รับการประเมินคุณค่า เช่น ในหน้าที่การขายคือ เป้าหมายจะสัมพันธ์กับประสิทธิ์ภาพ (ต้นทุนต่อยอดขาย) คุณภาพ (จำนวนของสินค้าที่รับคืน) และการตอลสนองต่อลูกค้า (เวลาที่ใช้ในการตอบสนองความต้องการของลูกค้า) ขั้นสุดท้ายผู้บริหารระดับหน้าที่จะตั้งเป้าหมายเพื่อให้พนักงานแต่ละคนสามารถบรรลุเป้าหมายในระดับหน้าที่ได้ เช่น พนักงานขายสามารถที่จะตั้งเป้าหมายเฉพาะซึ่งสัมพันธ์กับเป้าหมายตามหน้าที่
การบริหารโดยวัตถุประสงค์ (Management by objectives (MBO))
เป็นระบบของการประเมินค่า ด้วยความสามารถของผู้บริหารเอง
ซึ่งจะทำให้สามารถบรรลุวัตถุประสงค์
หรือบรรลุผลการปฏิบัติงานและมาตรฐานที่กำหนดไว้ โดยให้เป็นไปตามงบประมาณที่ตั้งไว้
เป็นวิธีการควบคุฒผลผลิตจะมีประสิทธิภาพสูงสุด
หลายองค์การนำไปปฏิบัตโดยการใช้การบริหารโดยวัตถุประสงค์
ซึ่งการบริหารโดยวัตถุประสงค์จะมีขั้นตอนดังต่อไปนี้
1.ตั้งเป้าหมายและวัตถุประสงค์ในแต่ละระดับขององค์การ (Specific
goals and objectives are established at each level of the organization)
การบริหารโดยวัตถุประสงค์เริ่มต้น
เมื่อผู้บริหารบริษัทจัดตั้งวุตถุประสงค์โดยรวมขององค์การ เช่น
เป้าหมายของการทำงานทางการเงิน เมื่อได้ทำการตกลงในรายละเอียด
แล้วผู้บริหารทุกระดับชั้นก็จะตั้งวัตถประสงค์ที่สอดคล้องเป็ฯลำดับขั้นลงมา
เพื่อให้บรรลุวัตถุประสงค์ของบริษัท
2.การกำหนดเป้าหมายเป็นกระบวนการที่มีส่วนร่วม (Goal setting is
a participatory process) สิ่งสำคัญที่สุดของการบริหารโยวัตถุประสงค์ ได้แก่
ผู้บริหารทุกระดับชั้นจะต้องทำความเข้าใจกับผู้ใต้บังคับบัญชา เพื่อหาวัตถุประสงค์ที่เหมาะสมในการตัดสินปัญหาทางงบประมาณร่วมกัน
เพื่อให้ได้ข้อสรูปตามเปาหมายและต้นทุนขององค์การ
3.การประเมินผลความก้าวหน้าเป็นระยะ ๆ เพื่อให้เป็นไปตามเป้าหมาย (Periodic
review of progress toward meeting goals) เมื่อทำความตกลงในเรื่องเป้าหมายร่วมกันแล้ว
ผู้บริหารทุกระดับจะต้องประชุมร่วมกันอย่างสม่ำเสมอเพื่อประเมินผลความก้าวหน้า
การควบคุมพฤติกรรม (Behavior controls) เป็นการสร้างความเข้าใจเกียวกับกฎเกณฑ์และขั้นตอนการทำงานเพื่อนำไปสู่การกระทำหรือพฤติกรรมของแผนก
หน้าที่ และพนักงานแต่ละคน ขั้นตอนแรกในการนำกลยุทธ์ไปปฏิบัติ ได้แก่
การที่ผู้บริหารได้ออกแบบโครงสร้างขององค์การอย่างเหมาะสมที่จะทำให้การทำงายของโครงสร้างดำเนินไปได้
อย่างไรก็ตาม
พนักงานจะต้องเรียนรู้ชนิดของพฤติกรรมที่พวกเขาคาดหวังในการปฏิบัติงาน
ซึ่งผู้บริการจะสั่งงานตามสายการบังคับบัญชาขององค์การ
การใช้การควบคุมพฤติกรรมนั้นเป็น
การสร้างพฤติกรรมให้เป็นมาตรฐานตามกฎเกณฑ์ การทำผลผลิตให้เป็นไปตามที่คาดหวัง
ถ้าพนักงานปฏิบัติตามกฎจะทำให้การปฏิบัติงานและการตัดสินใจเป็นไปตามแบบอย่าง
ผลลัพธ์ที่ออกมาก็จะสามารถคาดคะเนได้อย่างแม่นยำและเป็นไปตามเป้าหมายของระบบการควบคุม
ซึ่งการควบคุมพฤติกรรมจะมีเป้าหมายหลักอยู่ที่งบประมาณการดำเนินงาน
และการปฏิบัติตามมาตรฐาน
1.งบประมาณการดำเนินงาน (Operation budgets) งบประมาณดำเนินการจะกำหนดว่าผู้บริหารและพนักงานจะเข้าถึงเป้าหมายนั้นได้อย่างไร งบประมาณการดำเนินงานจะเป็นเสมือนแบบพิมพ์เขียวที่จะกำหนดว่าผู้บริหารควรใช้ทรัพยากรขององค์การอย่างไรเพื่อให้บรรลุเป้าหมายขององค์การอย่างมีประสิทธิภาพที่สุด โดยทั่วไปผู้บริหารของแต่ละระดับจะเป็นผู้จัดสรรทรัพยากรให้กบผู้ใต้บังคับบัญชาตามลำดับ เพื่อใช้เป็นทรัพยากรในการผลิตสินค้าและบริการ และผู้บริหารจะต้องตัดสินใจในการจัดสรรงบประมาณสำหรับกิจกรรมต่าง ๆ ขององค์การ ผู้บริหารระดับต้นจะได้รับการประเมินคาจากความสามารถในการดำเนินงานให้อยู่ในงบประมาณ และใช้งบประมาณนั้นให้เกิดประโยชน์มากที่สุด ตัวอย่าง ผู้บริหารของ GE (หน่วยผลิตเครื่องซักผ้า) อาจมีงบประมาณ 50 ล้านบาท สำหรับการพัฒนาและขายผลิตภัณฑ์ใหม่ และจะต้องตัดสินใจในการจัดสรรงบประมาณให้กับแผนกต่าง ๆ เช่น แผนก R&D แผนกวิศวรรม แผนกการตลาด หรืออื่น ๆ เพื่อให้แต่ละหน่วยงานนั้นดำเนินงานให้ได้ผลกำไรมากที่สุด โดยทั่วไปแล้วในแต่ละแผนกขององค์การขนาดใหญ่จะดำเนินงานในลักษะศูนย์ทำกำไรอิสระ ซึ่งผู้บริหารบริษัทจะประเมินผลการปฏิบัติงานของแต่ละแผนกโดยให้สัมพนธ์กับการสร้างกำไรของบริษัท
1.งบประมาณการดำเนินงาน (Operation budgets) งบประมาณดำเนินการจะกำหนดว่าผู้บริหารและพนักงานจะเข้าถึงเป้าหมายนั้นได้อย่างไร งบประมาณการดำเนินงานจะเป็นเสมือนแบบพิมพ์เขียวที่จะกำหนดว่าผู้บริหารควรใช้ทรัพยากรขององค์การอย่างไรเพื่อให้บรรลุเป้าหมายขององค์การอย่างมีประสิทธิภาพที่สุด โดยทั่วไปผู้บริหารของแต่ละระดับจะเป็นผู้จัดสรรทรัพยากรให้กบผู้ใต้บังคับบัญชาตามลำดับ เพื่อใช้เป็นทรัพยากรในการผลิตสินค้าและบริการ และผู้บริหารจะต้องตัดสินใจในการจัดสรรงบประมาณสำหรับกิจกรรมต่าง ๆ ขององค์การ ผู้บริหารระดับต้นจะได้รับการประเมินคาจากความสามารถในการดำเนินงานให้อยู่ในงบประมาณ และใช้งบประมาณนั้นให้เกิดประโยชน์มากที่สุด ตัวอย่าง ผู้บริหารของ GE (หน่วยผลิตเครื่องซักผ้า) อาจมีงบประมาณ 50 ล้านบาท สำหรับการพัฒนาและขายผลิตภัณฑ์ใหม่ และจะต้องตัดสินใจในการจัดสรรงบประมาณให้กับแผนกต่าง ๆ เช่น แผนก R&D แผนกวิศวรรม แผนกการตลาด หรืออื่น ๆ เพื่อให้แต่ละหน่วยงานนั้นดำเนินงานให้ได้ผลกำไรมากที่สุด โดยทั่วไปแล้วในแต่ละแผนกขององค์การขนาดใหญ่จะดำเนินงานในลักษะศูนย์ทำกำไรอิสระ ซึ่งผู้บริหารบริษัทจะประเมินผลการปฏิบัติงานของแต่ละแผนกโดยให้สัมพนธ์กับการสร้างกำไรของบริษัท
ความเป็นมาตรฐาน (Standardization)
เป็นระดับของความเป็นรูปแบบเดียวกันของกระบวนการและสภาพการซึ่งเกี่ยวกับงานการบริหารการทดสอบ
เช่น การกำหนดคุณภาพและปริมาณเพื่อใช้เป็นเกณฑ์วัดผลงาน ในทางปฏิบัติมี 3
สิ่งที่องค์การสามารถใช้เป็นมาตรฐาน ได้แก่ 1.ปัจจัยนำเข้า
2.กิจกรรมการผลิต 3.ผลผลิต โดยมีรายละเอียดดังนี้
1.ความเป็นมาตรฐานของปัจจัยนำเข้า (Atandardization of inputs)
วิธีหนึ่งซึ่งองค์การจะใช้ในการควบคุมพฤติกรรมทั้งของบุคคลและทรัพยากร ได้แก่
การปรับมาตรฐานของปัจจัยนำเข้าสู่องค์การ หมายความว่า
ผู้บริหารจะคัดเลือกปัจจัยนำเข้าให้สอดคล้องกับมาตรฐานหรือข้ากำหนด
และตัดสินว่าจะใช้ปัจจัยนำเข้าชนิดใด ถ้าพนักงานคือปัจจัยนำเข้า
ดังนั้นวิธีการทำให้เป็นมาตรฐานก็คือจะต้องกำหนดถึงคุณภาพ และทกษะของพนักงาน
ถ้าปัจจัยนำเข้าเป็นวัตถุดิบหรือชิ้นส่วนที่จะต้องนำมาประกอบก็จะใช้เกณฑ์เดียวกัน
2.ความเป็นมาตรฐานของกิจกรรมการผลิต (Standardization of
conversion activities) เป้าหมายของกระบวนการผลิตที่เป็นมาตรฐานจะเป็นแผนงานกิจกรรมการทำงานซึ่งทำด้วยวิธีเดียวกันซ้ำ
ๆ มีการควบคุมพฤติกรรม เช่น กฎเกณฑ์และวิธีการดำเนินงาน
ซึ่งเป็นวิธีที่สำคัญในการทำให้บริษัทสามารถมีระดับของปริมาณการผลิตที่เป็นไปตามมาตรฐาน
3.ความเป็นมาตรฐานของผลผลิต (Standardization of outputs) หมายถึง
ผลผลิตที่เป็นมาตรฐานตามเป้าหมาย โดยมีการกำหนดลักษณะของผลิตภัณฑ์หรือบริการว่าควรจะเป็นอย่างไร
บริษัทจะต้องใช้การควบคุมคุณภาพและใช้เกณฑ์ต่าง ๆ เพื่อวัดมาตรฐานนี้
โดยพิจารณาจากสินค้าที่ถูกส่งคืนจากลูกค้าหรือความไม่พอใจในสินค้าของลูกค้า
เป็นต้น